ซีรีส์ที่เล่าถึงการตามหาตัวฆาตกรต่อเนื่องของ 2 ตำรวจสายสืบที่ไม่ค่อยลงรอยกัน โดยเล่าเรื่องผ่าน 2 ช่วงเวลาที่ทำให้คนดูอินกับรายละเอียดต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น…
‘Beyond Evil’ เป็นซีรีส์แนวระทึกขวัญ-จิตวิทยา-สืบสวนสอบสวน ที่เล่าเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นใน ‘มันยาง’ เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่กำลังมีแผนจะพัฒนาและสร้างการจดจำครั้งใหม่ให้เป็นเมืองศิวิไลซ์ปลอดอาชญากรรม แต่ทว่าความฝันครั้งใหม่นี้ดันไม่ได้สำเร็จง่าย ๆ อย่างที่คิด เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องอันน่าสะพรึงขึ้น หลังพบศพของหญิงสาวหลายคนถูกฆาตกรรมอย่างไร้ความปรานี ที่ดูท่าแล้วมีลักษณะคล้ายคลึงกับคดีคนหายคดีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้เมื่อ 20 ปีก่อน อันเป็นที่โจษจันไปทั่วประเทศ เพราะพี่ชายฝาแฝดของเหยื่อผู้หายสาบสูญ อย่าง อีดงชิก (รับบทโดย ชินฮาคยูน) นายตำรวจสุดบ้าบิ่นฝีมือดี กลับเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเสียได้ งานนี้สารรวัตรหนุ่มไฟแรง ฮันจูวอน (รับบทโดย ยอจินกู) ที่เพิ่งย้ายมาประจำการในเมืองมันยาง จึงกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะมาช่วยค้นหาปีศาจร้ายตัวจริงที่แฝงอยู่
สำหรับเนื้อหาของ Beyond Evil นั้น หลัก ๆ จะอยู่ที่การหาตัวอาชญากรใจเหี้ยม ผู้สร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชนชาวเกาหลีใต้ และแน่นอนว่าผู้ที่หวาดวิตกกว่าใคร ๆ คงหนีไม่พ้นผู้คนในเมืองมันยาง ซึ่งตัวคดีจะแบ่งออกเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในปัจจุบัน และคดีคนหายในอดีตที่เหยื่อคือ อียูยอน น้องสาวของ อีดงชิก ซึ่งรูปคดีโหดเหล่านี้ถูกก่อขึ้นอย่างแนบเนียน แทบจะไร้เบาะแสที่จะยึดโยงไปหาคนร้าย แม้แต่ร่างของเหยื่อยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงนิ้วสิบนิ้วที่ถูกตัดและจัดวางไว้อย่างน่าสะพรึงกลัว
แต่ไม่เพียงแต่เท่านั้น เพราะนอกจากการตามล่าหาตัวฆาตกร ที่พบเห็นได้ตามซีรีส์สืบสวนส่วนใหญ่แล้ว Beyond Evil ยังสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจในระบบราชการของตำรวจอย่างชัดเจน ทั้งการสืบสวนแบบจับผิดบ้างจับถูกบ้าง การรีบสรุปรูปคดี การล่อซื้อที่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย อีกทั้งตลอดทั้งเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครที่เป็นตำรวจแทบจะทุกตัวในเรื่องนี้ต่างทำผิดกฎหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผ่านการใช้ช่องว่างของกฎและอำนาจที่มีอยู่ในมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แถมในเรื่องยังชี้ว่าผู้ต้องสงสัยก็วนเวียนอยู่ในแวดวงตำรวจเสียเอง แล้วแบบนี้จะเป็นอย่างไรหากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กลับไม่ได้พิทักษ์ความสันติอย่างที่ว่ากัน?
อีกทั้งตัวซีรีส์ยังสะท้อนถึงการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มนายทุนผู้มีอำนาจ ที่น่าหวาดกลัวไม่ต่างจากคนร้าย ความน่าหวาดหวั่นชวนหดหู่จึงกลับไม่ได้ลอยฟุ้งอยู่เพียงเพราะศพที่หาย หรือนิ้วขาด ๆ ชวนสะอิดสะเอียน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ซีรีส์ก็ชวนให้เราเกิดการตั้งคำถามว่า แล้วใครกันแน่ที่เทำให้เมืองเตลิดไปด้วยความหดหู่?ใครกันแน่ที่เป็นปีศาจ?
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างมากคือลำดับการเล่าเรื่องที่วางได้อย่างน่าติดตาม และฉาก ending ที่ตราตรึงในทุกตอน โดยในช่วงองก์แรกของซีรีส์จะเน้นในเรื่องของการตามล่าหาคนร้ายในชุมชนชาวมันยาง ที่ทำเอาผู้ชมสับสน เปลี่ยนการคาดเดาผู้ต้องสงสัยกันแบบตอนต่อตอน พลิกแล้วพลิกอีก แม้แต่ตัวเอกก็ไว้ใจไม่ได้ และยิ่งถลำลึกยิ่งมีแต่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำเอาดูจบต้องตบเข่าฉาดกับความคาดไม่ถึง
แต่ยิ่งไปเรื่อย ๆ ปมบางอย่างก็เริ่มคลี่คลาย แต่ไม่นาน ก็มีปมใหม่เข้ามาให้ได้ปวดหัวกัน ซึ่งความสนุกของเรื่องก็ไม่ได้น้อยลงเลย แม้ว่าจำนวนตอนจะมากขึ้น เพราะการร้อยเรียงและลำดับการตัดต่อที่มีลูกล่อลูกชนและทำได้อยู่มือ ช่วงองก์หลังของซีรีส์จึงถูกทำให้น่าติดตามด้วยการรชักชวนให้ผู้ชมเกิดความสนใจว่า ถ้าเป็นคนนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อ? แล้วอีดงชิก ฮันจูวอนจะรับมืออย่างไร? พวกเขาจะทำอะไร? คดีและซีรีส์เรื่องนี้จะไปก้าวไปสู่จุดจบแบบใด?
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้ายนั้นมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันทั้งหมด ซึ่งซีรีส์จะค่อย ๆ เผยถึงที่มาที่ไปของข้อสงสัยที่ถูกหยิบยกมา แต่กว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดของสิ่งที่เกิดขึ้น เหล่าตัวละครต้องขับเคี่ยวกันด้วยการเล่นแง่แหย่เชิงกันอยู่ยกใหญ่ ชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร งัดกึ๋นมาโต้กันแบบเอาตาย บทสนทนาระหว่างตัวละครในเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยคารมและคมคาย เล่นกับจิตวิยาอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการดำเนินเรื่องที่ทำให้ต้องกลับมาคิดตีความต่อ
ที่ผู้เขียนชอบอีกอย่างสำหรับซีรีส์เรื่องนี้นั่นก็คือความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนมันยาง ที่มีต่อกันหลากหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้รู้สึกน่าอบอุ่นอยู่ในที และก็น่าขนลุกอยู่ในทีไปพร้อม ๆ กัน แถมแต่ละคนต่างก็มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันมากนัก การกระทำของแต่ละตัวละครต่างยึดโยงและมีบทบาทต่อเรื่องที่จะสร้างจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ทั้งสิ้น ทำให้แต่ละตัวคนในเรื่องนี้นั้นน่าจดจำไม่ต่างกัน
ในส่วนของโปรดักชั่น อาร์ตไดเรกชั่นของ Beyond Evil ก็เรียกได้ว่าน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเมื่อเทียบกับซีรีส์ที่ฉายในล็อตเดียวกัน แต่ทำออกมาได้ดีใน genre ของตัวเอง ทั้งโทนสี โลเคชั่น มุมภาพที่ชวนสงสัย และสกอร์เสียงเพลงที่ผู้เขียนขอออกความเห็นตรงนี้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ใช้สกอร์ เพลงประกอบในการเล่าเรื่อง บีบคั้นอารมณ์ได้ถูกจังหวะจะโคนดีมาก ๆ พูดได้คำเดียวว่า ‘ทำสกอร์ได้โคตรเท่’
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ การแสดงขั้นเทพจากเหล่าทีมนักแสดงมากความสามารถ ที่ทำให้ตัวละครทุกตัวดูมีชีวิตและมีเสน่ห์ในแบบของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงชั้นครู สมเกียรติกับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายแพคซัง ของ ชินฮาคยูน ที่สวมบท อีดงชิก ได้อย่างบ้าดีเดือด ทั้งดูจิต ๆ หลอน ๆ แต่ก็มีความเศร้าหมอง มีความอบอุ่นอยู่ในคนเดียวกัน หรือ ยอจินกู ที่แสดงเป็น สารวัตรฮันจูวอน ด้วยแววตา น้ำเสียง สีหน้าที่สามารถฟาดฟันกับนักแสดงรุ่นพี่ได้แบบไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว (ส่วนตัวผู้เขียนสนุกที่ได้ดูฉากขับเคี่ยวคารมของตัวละครหลักทั้ง 2 ตัวเป็นพิเศษ เพราะเป็นซีนที่ได้เห็นนักแสดงแสดงความซับซ้อนของจิตใจตัวละครได้ดี) ซึ่งนอกจากนักแสดงหลักแล้วเหล่านักแสดงสมทบก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่ต่างกันทุก ๆ คน จนแอบลุ้นว่าเหล่านักแสดงจากเรื่องนี้ คงคว้ารางวัลจากเวทีประกาศรางวัลใหญ่ ๆ ในปี 2021 นี้กันมาบ้าง (ปัจจุบัน ชินฮาคยูน ได้เป็นเจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)
ท้ายที่สุดแล้ว หากถามว่ามีจุดที่น่าเสียดายของเรื่องนี้ไหม ส่วนตัวผู้เขียนคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบ้างเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้รับชมจนมาถึงช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ผู้เขียนต้องขอบอกเลยว่านี่เป็นผลงานซีรีส์แนวทริลเลอร์จิตวิทยาของเกาหลีใต้ที่ทำออกมาได้เข้มข้น ปราณีต มีชั้นเชิงดีงามมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่ง จนไต่เต้ามาเป็นซีรีส์แนวสืบสวนอันดับต้น ๆ ในใจของผู้เขียนได้อย่างไม่ยาก และอยากเชิญชวนให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่านลองมาเปิดใจรับชมอีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจของวงการบันเทิงเกาหลีใต้อีกชิ้นหนึ่งไปด้วยกัน ที่เราไม่อยากให้คุณพลาดด้วยประการทั้งปวง