Welcome To Waikiki : ไวกิกิ เกสต์เฮ้าส์อลเวง
NETFLIX , viu : Season 1 20 Episodes (2018)
ถ้าว่ากันว่าถึงงานซีรีส์ชั้นยอดที่มีความยอดเยี่ยมในแนวทางของตนเอง ผู้เขียนได้นำเสนอมาแล้วหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องแม้จะมีความสนุกสนานตลกขบขัน ก็ยังเป็นแนวทางอื่น ที่มิอาจนับได้ว่าเป็นแนวทางงานซีรีส์ที่ขายความฮา หรือเป็นแนว Comedy ที่ชัดเจนไปเลย ซึ่งที่ผ่านมานั้นงานหนังหรือซีรีส์ในแนวตลก ที่มาขายฉากหน้าความตลกเน้นๆมักจะไม่มีเรื่องไหนที่เป็นได้ในระดับ The Best ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความตลกมันคุมยาก ถ้าคุมไม่อยู่มักจะเลอะเทอะกลางทางจนกระทั่งกลายเป็นเลยเถิดไปดูไม่ดีเท่าไหร่ อีกประการคือการจะหาเรื่องตลกมาเล่าในระยะยาวนั้นนับเป็นงานที่โหดหิน จึงมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นมุขที่ผู้ชมเข้าไม่ถึงและกลายเป็นตลกฝืด
และสิ่งที่ตามมาคือการมองหาความง่ายเพื่อจะให้ผู้ชมตลกนั่นคือความหยาบคาย เรื่องใต้สะดือที่ก็ต้องยอมรับว่ามันตลกจริงแต่มันก็เป็นความตลกที่ไม่สะอาด เป็นตลกที่ไม่ให้เกียร์ติผู้ชมและมีไม่น้อยที่ลามปามไปเล่นตลกที่ถึงเนื้อถึงตัว ตลกเจ็บตัว ที่มันใช้ได้แต่มันก็กลายเป็นงานขายความตลกที่เห็นได้ทั่วไปไม่ได้กลายเป็นที่จดจำ และเมื่อกลับมาดูซ้ำ ความตลกที่ไม่สะอาดก็ไม่อาจทำให้ผู้ชมหัวเราะได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปผู้ชมบางคนมีวุฒิภาวะเพิ่มขั้น อะไรก็ตามที่เป็นการล้อเล่นหรือล้อเลียนแบบไม่ให้เกียร์ติผู้อื่นมันอาจะเลยเถิดไปเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ ซึ่งมันก็ย้อนกลบมาที่พื้นฐานของการรังสรรงาน ที่ทุกอย่างต้องเริ่มมาจากบทที่ดีก่อนที่แน่นหนาและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดก่อนเป็นปฐม
ซึ่งเท่าที่ผู้เขียนดูซีรีส์หลากหลายสัญชาติมาก็มาสะดุตากับงานซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำมาว่า “รับประกันความฮา ไม่เครียด สาระไม่ต้อง บ๊องสถานเดียว” แต่แล้วเมื่อผู้เขียนได้ดูเข้าจริง ปรากฎว่ามันเบาสมองจริงผ่อนคลายอย่างจริงเพียงแต่ที่ว่าสาระไม่ต้องนั้นอาจไม่ใช่ทั้งหมด ยังมองเห็นความหมายระหว่างบรรทัดแฝงอยู่ แต่ด้วยความที่มันตั้งใจมาตลกแบบรั่วจนเรื้อน เลยทำให้สิ่งที่ว่าสัมผัสได้เบาบางจนต้องผ่านไปสักระยะจึงจะเริ่มแรงขึ้น แต่บนความตั้งใจให้เรื้อนที่มีข้อดีคือความตลกแบบแทบตกเก้าอี้ แต่มันก็ต้องแลกด้วยการที่เรื่องไม่มีพลังแรงจนต้องอดหลับอดนอนดูเพราะแกนหลักของเรื่องไม่ชัด แต่ทว่าก็เทไม่ลงอยู่ดี และนี่คือ The Best ในแนว Comedy Welcome To Waikiki
เรื่องย่อ
เกส์เฮาส์ไวกิกิ คือสถานที่รวมตัวกันของสามสหายที่เป็นพวกขี้แพ้สมบูรณ์แบบ หนึ่งคือคังดงกู ชายหนุ่มผู้ฝันจะเป็นผู้กำกับหนัง แต่เป็นได้แค่คนถ่ายงานวันเกิด อีกหนึ่งคือบงดูซิก หนุ่มเนิร์ดผู้ฝันอยากเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์ แต่ทำได้แค่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ไปเรื่อยๆ และสุดท้ายอีจุนกิ นักแสดงหนุ่มที่ฝันอยากเป็นดาราดัง แต่ปัจจุบันเป็นได้แค่ตัวประกอบอดทนที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บทเล็กๆ แถมยังพ่วงด้วยคังซอจินน้องสาวของดงกูที่เรียนจบแล้วและฝันอยากเป็นผู้สื่อข่าวแต่ยังเตะฝุ่นอยู่
คนทั้งหมดพักอาศัยอยู่และช่วยกันบริหารเกสต์เฮ้าส์ที่แทบไม่มีแขกเข้าพักแห่งนี้ และไม่ว่าจะดูยังไงนี่คือแก๊งขี้แพ้ทุกคน กระทั่งเรื่องความรักดงกูยังถูกมินซูอา ว่าที่นางแบบตลอดกาลเททิ้งไปมีคนใหม่ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่มาถึงไวกิกิเมื่อวันหนึ่งพวกเขากลับมาถึงบ้าน สามสหายต้องมาเจอกับเด็กทารกหนึ่งคนที่คาดว่าถูกเอามาทิ้งไว้ ทิ้งที่ไหนไม่ทิ้งดันมาทิ้งที่กลุ่มพวกมนุษย์ขี้แพ้มีปมแม่ของเด็กจึงต้องมาเอาลูกคืน และแม่ใจยักษ์ที่ไม่ยักษ์จริงนั้นดันเป็นหญิงสาวตัวเล็กชื่อฮันยุนอา แล้วเมื่อสอบถามความเข้าใจกันแล้ว แก๊งไวกิกิที่ลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอดก็เกิดสงสารเลยรับอุปการะยุนอาให้ทำงานในบ้านพร้อมกับดูแลลูกน้อยนามซลไปในตัว
แต่เรื่องก็บอกกลายๆว่าจุดสุดท้ายจะไปยังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างดงกูผู้อกหักกับยุนอาผู้ช้ำรักจากพ่อของลูก หรือระหว่างจุนกิตัวประกอบอดทนจอมรั่วเรื้อนที่อาวุโสสุดกับซูอาน้องสาวเพื่อนที่เป็นผู้เป็นอิสตรีหนวดเคราครึ้มเจ้าของฉายาชิวแบ็คก้าผู้อายุน้อยสุด และยังมีกลิ่นจางๆของความสัมพันธ์ระหว่างดูชิกกับซูอาที่ผู้ชมยังไม่อยากเชื่อว่ามันจะไปต่อยังไงแต่ก็ยังคิดว่ามันน่าจะเป็นตามนั้น และเมื่อมันเป็นเรื่องของพวกขี้แพ้ล่าฝันมันก็ต้องมีคำถามคำโตระหว่างความฝันกับหัวใจอยู่ที่ปลายทางตามสูตร
แล้วเรื่องก็เล่าด้วยแก่นในเรื่องของมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในบ้านเดียวกัน ร่วมทุกข์มากกว่าสุขบนความยาจกด้วยกัน และเรื่องของความรักที่น่าจะโรแมนติกของคู่รักสามคู่ที่ดูน่าจะฟินจิกหมอน ถ้าหากว่าไม่ได้เล่าเรื่องด้วยความรั่วเรื้อนใช้ตลกนำหน้าจนกระทั่งทุกอย่างหลบไปข้างหลังก่อน แต่แม้จะมีความรั่วจนเรื้อนและยิงมุขตลกแทบทุกนาทีแต่สัมผัสของแก่นเรื่องที่วางไว้ก็ไม่จางหายไป อาจเหลือเพียงกลิ่นจางๆแต่ยังสัมผัสได้แค่มันไม่สมดุล แต่ทว่าความไม่สมดุลมันกลับมาจากความตั้งใจจนกลายเป็นผลลัพธ์ในระดับที่กลายเป็นที่จดจำ
เพราะเป้าหมายหลักของบทคือความตลก คือเอากันตามตรงคือความจริงบทถูกวางแกนกลางไว้ที่เรื่องของมิตรภาพ กับเรื่องของทางแยกระหว่างความฝันที่ยิ่งใหญ่กับเสียงของหัวใจ แก่นของเรื่องนี้บทได้วางไว้ที่จุดหมายปลายทางเรียบร้อย ที่เหลือคือทำยังไงให้ออกมาเป็นคอมมิดี้น้ำหน้าเรื่องอื่นไว้ข้างหลัง ซึ่งถ้าจะปรับทางมาเป็นโรแมนติกนำคอมมิดี้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร อาจจะทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจด้วยซ้ำแต่มันจะกลายเป็นงานพื้นๆที่สามารถเห็นได้ทั่วไป แต่เมื่อเลือกที่จะใช้คอมมิดี้มานำหน้าบทก็ยังแข็งแรงพอที่จะไม่ทำให้แก่นของเรื่องเสียหาย
ก็ใช่ที่มันถูกความตลกขบขันที่ถ้าเป็นกระสุนก็สาดใส่ยิงกันกระจายกลบจนหมด โดนบ้างไม่โดนบ้างก็ยิง แป้กบ้างโดนเฉี่ยวๆบ้างโดนเต็มๆบ้างก็ไม่เป็นไร แต่พอโดนทีไรขำจนน้ำตาเล็ด ฮากระจายจนปวดกราม หัวเราะจนแทบตกเก้าอี้ หรือบางทีเผลอปุ๋งออกมาทางก้นจนคนข้างๆเหลียวมามอง และมันเป็นแบบนั้นไปจนถึงสามในสี่ของเรื่องจึงจัดให้แกนหลักของเรื่องมีความเข้มขึ้น ด้วยการใส่สถานการณ์วัดใจเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งไปสู่จุดหมายที่วางไว้อย่างสวยงาม แต่ไม่ว่าจะเพิ่มรสชาติความเข้มของแก่นของเรื่องยังไงสิ่งที่ไม่เคยลดทอนลงคือความรั่วและความตลก
ที่เห็นได้ชัดว่าได้จงใจเน้นส่วนนี้ทั้งการวางคาแร็คเตอร์ตัวละคร และสถานการณ์ที่ดูออกว่าจับเข้ามาใส่เพื่อให้ตลก มันคือการวางน้ำหนักไว้ที่ความตลกมากกว่าสาระที่ตั้งใจไว้และมันเห็นชัดเจนว่าไม่สมดุล แต่มันดันกลายเป็นความลงตัวเมื่อความตลกติ๊งต๊องที่เล่าผ่านตัวละครพวกขี้แพ้มันได้ใจ ที่สำคัญมันคือตลกที่ใสสะอาด ไม่ต้องตลกเจ็บตัวฟาดหัวตบหน้ากัน ไม่ต้องด่าทอล้อกันไปถึงบุพการี ไม่ต้องโหวกเหวกโวยวายชี้หน้าด่ากันด้วยความหยาบคาย ไม่ต้องตลกแบบสกปรกน่าขยะแขยงไม่ต้องเล่นมุขไต้สะดือหรือลามกจกเปรต
แต่ความตลกมันอยู่ที่คาแร็คเตอร์ตัวละครที่คิดหรือทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง แล้ววางสถานการณ์เว่อร์บ้างสมจริงบ้างมันคือความตลกที่ถูกวางตัวไว้อย่างแข็งแรงผ่านงานด้านบทมากกว่าจะไหลตามน้ำหรือนอกเรื่อง หรือด้านความรักก็มีพัฒนาการได้ใจผู้ชมกับสถานการณ์พิสูจน์หัวใจในเรื่องความรักที่ใส่เข้ามา ที่แม้จะดูฮาแต่ก็เป็นเครื่องสนับสนุนแกนหลักของเรื่องให้มั่นคง อีกทั้งเรื่องของมิตรภาพระหว่างเพื่อนแท้ที่มีเหตุการณ์มาให้วัดใจครั้งแล้วครั้งเล่าเข้มบ้างรั่วบ้างแต่หนักไปทางฮา และประเด็นสำคัญคือการมองแม่เลี้ยงเดี่ยวในมุมที่แตกต่าง
มันจึงเป็นความไม่สมดุลที่แสนลงตัวทำให้นี่อาจจะไม่ใช่งานที่เรียบเฉียบ ไม่ใช่งานโรแมนติก ไม่ใช่งานที่ต้องดูจนติดหนึบต้องดูจนอดหลับอดนอนเพราะแกนเรื่องไม่แรง หากแต่ก็เทไม่ลงเพราะยังดูได้สบายอุราจนกลายเป็นงานที่ต้องบอกว่าเป็นงานที่เหนือธรรมดาที่มีฉากจำมากมาย หรือใครจะลืมมุขปวดอึ๊ของดงกูที่ต้องยกห้องน้ำกลับบ้าน ใครจะลืมมุขที่จุนกิต้องเมคอัพสัตว์ประหลาดขึ้นรถเมล์ ใครจะลืมมุขกลิ่นเท้ามหาภัยของนายแบบสุดหล่อ หรือใครจะลืมมุขขับรถวนเพื่อดมตดกันสองคนของดูซิกกับซูอา และเมื่อมันทำได้ในระดับนี้ มันจึงกลายเป็นความไม่สมดุลหรือความเรื้อนแห่งตำนาน เพราะแค่นึกถึงชื่อ“ตงตุนต๊อก”ก็ยังอดขำไม่ได้ทุกทีสิน่า
เพราะเรื่องของพวกขี้แพ้คือเรื่องคลาสสิคที่ขายได้เสมอ เรื่องของความพยายามเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ซึ่งจากคำแนะนำมาว่าเรื่องนี้ฮาแบบไม่มีสาระแต่ผู้เขียนคงต้องขอแย้งประเด็นนี้ เพราะหาพินิจดูตามจริงกลับมีสาระอยู่ข้างในนั้น เพียงแต่สาระที่บทต้องการจะสื่อนั้นถูกวางไว้เบื้องหลังอย่างลึก แต่กระนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความหมายระหว่างบรรทัดซึ่งมันคือสิ่งที่มีเสมอในงานจากเกาหลี และสำหรับเองนี้คือหัวใจและความฝันในโลกที่บูดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี พื้นที่สำหรับความฝันของมนุษย์ที่จะเดินเข้าไปอาจไม่กว้างพอรองรับทุกความฝัน มันก็คือเรื่องสามัญที่มนุษย์ทุกคนต้องพยายามจะไล่ตามความฝันนั้น เพียงแต่ไม่ใช่ความพยายามของทุกคนจะเข้าตาพระเจ้า
อาจบางทีความพยายามก็ไม่สู้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงหรือเส้นสาย ซึ่งก็มองเห็นได้หลายในครั้งที่บทสื่อออกมาว่าใช่ว่าขาดความพยายาม แต่โอกาสมันมาไม่ถูกที่ถูกเวลาหรือบางทีโอกาสก็ถูกขโมยซึ่งหน้า แต่ที่สำคัญสิ่งที่เห็นเสมอมาคือความพยายามที่ไม่สิ้นสุดและการมองโลกในมุมบวกเสมอกับคำพูดติดปากจุนกิว่า“ไม่เป็นไร”(เควนช่านาๆๆๆ) หรือบางครั้งอาจมีบ้างที่เหมือนละเลยความฝันแต่นั่นเพราะปัจจัยหลายอย่างบีบบังคับ และเมื่อพื้นที่ยืนที่ตรงนั้นพระเจ้าจัดสรรมาเพียงน้อยนิด หลายต่อหลายครั้งที่อาจมีบ้างที่ทดท้อจากความพยายาม แต่ทว่ามนุษย์ขี้แพ้ทั้งสามบวกหนึ่งก็ยังกลับมาสู่เส้นทางของตนเองได้เสมอ
เอาตามจริงอาจดูง่ายในงานด้านบทที่หาทางออกแบบเบสิค แต่สิ่งหนึ่งที่บอกผู้ชมได้คือการบรรลุความฝันผ่านความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็คือความหอมหวานของรสชาติความอดทน แล้วปลายทางนั้นหากการที่ต้องไปยืนที่ตรงนั้นเพียงลำพังโดยปราศจากคนที่เคยเคียงข้างและให้กำลังใจเสมอมามันจะมีประโยชน์อันใด เมื่อความสำเร็จต้องแลกมากับหัวใจที่เปลี่ยวเปล่า บางทีการได้อยู่เคียงข้างคนที่เข้าใจและให้กำลังใจเสมอมาก็อาจเป็นความสำเร็จในชีวิตแล้ว เมื่อมีความทุกข์ต้องอดหรือมีความสุขแล้วอิ่มก็ยังมีคนที่อยู่เคียงข้างมอบความรักและหวังดีเสมอมา และไม่แน่บางทีเสียงของหัวใจกับความฝันอาจไปด้วยกันได้ และมันเป็นเช่นนี้เมื่อถึงที่สุดไอ้ขี้แพ้ทั้งสามก็ยังเลือกที่จะอยู่กับชีวิตเดิม เพียงแต่คราวนี้อาจไม่ได้ทุกข์หรือสุขเพียงลำพังแต่มีคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย และมันอาจเป็นความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของใครสักคนแล้ว
เพียงแต่ทั้งหมดมันได้ถูกความตลกบดบังไปจนมองแทบไม่เห็นในตอนแรก แล้วจึงค่อยๆชัดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปแต่เมื่อบทเลือกที่จะวางตัวเองเป็นความตลกนำหน้า สิ่งที่ต้องแลกมาคือเรื่องเหล่านี้แทบถูกกลืนหายและมันส่งผลต่อความน่าติดตามของตัวเรื่องอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อไม่มีอะไรเร้าอารมณ์แบบดราม่าแต่ใส่สถานการณ์ตลกเข้ามาแล้วจบประเด็นในเวลาอันสั้นแถมจบแบบง่ายๆ นั่นหมายความว่าอัตราความน่าติดตามไม่สูงระดับสุดขีด แต่สิ่งที่เป็นคือการดูได้เรื่อยๆหยุดดูแล้วกลับมาใหม่ก็ยังสนุก แต่ก็ยังต้องดูจนจบเพราะยังมีอะไรให้ได้คิดตามแม้ว่าจะไม่มีอะไรให้ลุ้น เพราะเรื่องมันถูกออกแบบไว้แบบนี้และมันต้องไปตามนี้ที่ผู้ชมไม่ต้องเดาก็ทราบ เหลือแค่บทจะใส่เหตุการณ์อะไรมาให้ผู้ชมฮาจนลืมหายใจอีกเท่านั้น
เพราะนี่คือความเรื้อนที่สมบูรณ์แบบตัวละครหลักสามคนคือความเรื้อน ความเว่อร์ ความบ๊อง ด้วยการทำเรื่องที่มนุษย์บางคนไม่ทำ(บางคนก็ทำเพียงแต่อาจจะไม่ทำแบบรั่วๆ) แต่สิ่งที่เป็นในตัวละครทั้งสามคนคือความมีวินัยที่เห็นได้ชัดเพราะเรื่องตั้งใจจะขายจุดนี้ การแสดงต้องพอดีไม่ให้เลอะจนล้นเพราะอย่างที่บอกว่าบทได้ถูกวางตัวไว้แล้ว มีจุดหมายที่ชัดเจนในการเล่าเรื่องแบบเน้นความตลกแบบนี้ เน้นความรั่วแบบนี้ ซึ่งยากมากที่จะคุมให้อยู่ในทางที่ต้องการไปตลอดรอดฝั่ง ยากมากที่จะคุมไม่ให้กลายเป็นตลกเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ซึ่งการจะคุมให้อยู่นั้นนอกจากบทต้องแน่นมาก นักแสดงที่รับหน้าที่ต้องเคร่งครัดในการเล่นตามบทอย่างมีวินัย
หากจะลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่านักแสดงหลักสามคนที่เป็นตัวเดินเรื่องและเป็นตัวชงมุขตลก ไม่มีเลยสักครั้งที่จะพยายามเล่นนอกบทหรือพยายามโชว์เหนือในการแสดง ที่เห็นคือการแสดงเป็นตัวละครได้อย่างเป็นภาพจำทุกคน คุมให้อยู่ในกรอบที่บทบาทและคาแร็คเตอร์ของตัวละครวางไว้มันจึงได้ผลเป็นเลิศ ทั้งบทดงกูของคิมจุงฮยอน บทดูซิก ของซอนซึงวอน แต่ที่ต้องเรียกว่าเป็นภาพจำติดตาแน่นอนคือบทจุนกิของอียีคยองที่แสดงจนนึกภาพเขาในเรื่องอื่นๆไม่ได้เลยทั้งที่ก็เคยผ่านตามาพอสมควร เห็นหน้าทีไรก็นึกถึงความรั่วเรื้อนในเรื่องนี้ และที่มันทำให้เป็นได้ในระดับที่เข้าสิงหรือสวมวิญญาณแบบนี้ ก็คือวินัยของนักแสดงที่ต้องเล่นตามบทที่ถูกตีกรอบไว้
ทั้งนี้รวมไปถึงฝ่ายหญิงอย่างจองอินซอนในบทยุนอาอีจูอูในบทซูอา และโกวอนฮีในบทซอจิน ที่มีแต่คนสุดท้ายเท่านั้นที่รั่วกว่าคนอื่น แต่การต้องเล่นบทแบบนี้ในงานที่ตั้งหน้าขายความตลกสุดขั้วแบบนี้ เธอทั้งสามก็ยังคุมคาแร็คเตอร์อยู่ไม่หลุดล้น นั่นก็เพราะวินัยอีกเช่นกันในการรับผิดชอบบทของตนเองอย่างเคร่งครัด และมันทำให้มีบางอย่างให้ได้พิสูจน์เรื่องของมาตรฐานนักแสดงเกาหลีอีกคือวินัยและความรับผิดชอบต่อบท ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงกว่าจะได้แต่ละฉากที่ตัดออกมาให้ได้ชมจะหลุดไปกี่ครั้งกว่าจะเป็นภาพออกมา เพราะเชื่อว่านักแสดงคงอดขำไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้นวินัยของบท วินัยของผู้กำกับ และวินัยของนักแสดงต้องสูงพอที่จะคุมให้อยู่ไม่ให้หลุดจนเกินไปจนทำให้กำหนดการฉายที่เข้ามาบีบ จนทำให้ลนลานปล่อยผ่านจุดเล็กจุดน้อยที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งมันจะกลายเป็นแผลของเรื่องไปโดยปริยาย และแม้จะเป็นงานคอมมิดี้เต็มรูปแบบ แต่เมื่อบทตั้งธงไว้ให้เป็นแบบนี้หากปล่อยให้หลุดหรือปล่อยผ่านบางฉากบางซีนมันก็อาจทำให้ความตลกไม่ถึงจุดที่ควรไป แล้วมันจะทำให้ผู้ชมสังเกตเห็นแล้วอาจจะไม่สนุก ซึ่งมันคือมาตรฐานระดับสูงที่มองเห็นได้จากความจงใจให้รั่วหรือใครจะลืมสีหน้าท่าทางของหนูน้อยซลที่น่ารักและถูกจังหวะเวลา ซึ่งคิดแบบง่ายๆว่ากว่าจะได้แบบนั้นต้องอดทนถ่ายกันกี่ครั้งถึงจะได้สีหน้าท่าทางของเด็กทารกได้แบบนั้น แม้จะเห็นเป็นความรั่ว แต่นี่ไม่ใช่งานที่มาแบบลวกๆแน่นอน
นี่คือความสนุกที่ไม่ใช่แค่ฉากหน้าอย่างที่ว่ากัน มันคือความสนุกทั้งเบื้องหน้าและสิ่งที่แฝงไว้เบื้องหลัง และจากจุดมุ่งหมายในการดูเพื่อเบาภาระทางอารมณ์ของผู้ชมเพื่อผ่อนคลายความเครียด หรือต้องการปลีกหัวใจหลบเร้นภาวการณ์เหนื่อยล้าทางอารมณ์จากชีวิตประจำวันที่หนักหน่วง หรือการที่ได้ดูได้ชมงานซีรีส์ที่หนักหน่วงแนวบริหารสมองสะเทือนอารมณ์เชิงดราม่าจัดจ้านแบบติดๆกัน บางทีการหลบเร้นมาผ่อนคลายในความต่างบนความเบาสมองบ้างอาจเป็นเรื่องดี และการดูเรื่องนี้คือการตอบโจทย์ได้ตรงประเด็นที่สุด
ซึ่งในความเป็นงานคอมมิดี้ ผู้เขียนเองได้ผ่านตางานแบบตลกๆแบบนี้มานับเรื่องไม่ถ้วน แต่น้อยครั้งที่เราจะเห็นความตลกที่ใสสะอาดไปจนสุดทางแบบนี้ แต่ทั้งนี้แม้จะไม่มีความตลกตลาดล่างแบบที่เห็นกันได้ทั่วไปแต่กลับตลกได้ทุกอย่างแทบทุกเวลา แม้กระทั่งตัวละครตีสีหน้าก็ยังตลก โอเคที่มีบ้างที่มุขมันแป้กหรือยิงไม่โดน แต่พอโดนจังๆก็เอาซะเต็มที่ และเชื่อว่าด้วยความที่มันเป็น Claen Comedy แบบนี้ มันจึงเป็นงานที่ผู้ชมส่วนมากดูแล้วชื่นชอบ ไม่ว่าผู้ชมจะต้องการอะไรจากเรื่องนี้จะได้รับผลของความต้องการนั้นแน่นอน แม้ว่าอาจมองเห็นความหมายแฝงได้เพียงนิดหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังไม่หลงลืมที่จะมีไว้ เพื่อให้คนที่ต้องการอะไรมากกว่าความตลกที่อยู่เบื้องหน้าได้สัมผัส
และด้วยความใสสะอาดแบบนี้มันจึงไม่แปลกที่ถ้านับกันที่งานแนวนี้ล้วนๆ นี่คืองานที่สามารถยกไว้ให้เป็นหนึ่งในใจในความเป็นซีรีส์ที่ตลกสุดขีด ฮาตกขอบ หรืออาจเรียกได้ว่านี่คืองานระดับขึ้นหิ้งหรือ The Best ในแนวทางของตัวเองก็ย่อมได้ เพราะไม่ว่าจะรำลึกความทรงจำไปให้ลึกหรือย้อนความทรงจำไปไกลไปนานขนาดไหนยังนึกไม่ออกว่า จะมีเรื่องไหนที่ตลกได้ทุกสามนาทีแบบนี้ โดยที่ไม่มีความหยาบคาย ความเจ็บตัว ความสกปรก หรือเลอะเทอะเลย เป็นงานตลกที่สะอาดแต่ตลกจนชนิดที่ว่า จะเป็นภาพติดตาไปอีกนานจนกว่าจะมีงานตลกแบบสะอาดสะอ้านแบบนี้มาแทนในความเหนือกว่า แต่ยังมองว่าไม่ใช่เวลาอันใกล้แน่นอน
เพราะเหตุผลของความยากในการคุมเกมอย่างที่บอกไว้ ทั้งที่เรื่องนี้เอาตามจริงยังมีอะไรไม่สมบูรณ์แบบในองค์ประกอบความเป็นงานระดับยอดเยี่ยม แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้นคงไม่ต้องมาสาธยาย เพราะเชื่อเหลือเกินว่าผู้ชมไม่ทันได้มองเห็นเพราะมัวแต่หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล จนอาจเผลอปล่อยตดไปบ้างก็มี แต่ถ้าจะเผลอตดก็ขอให้มาแต่เสียง กลิ่นไม่ต้องตามมาก็ได้ แต่ทำไมถึงต้องยกว่าเป็นงานระดับขึ้นหิ้ง ท่านผู้อ่านลองคิดทบทวนดูว่าถ้านึกถึงซีรีส์เกาหลีที่ตลกแบบทุกสามนาที ที่แค่เห็นสีหน้าก็ฮาแล้วและความฮานั้นไม่มีมลทินแปดเปื้อนเลยท่านนึกถึงเรื่องไหนก่อนเรื่องนี้ และอย่างที่บอกแม้มันจะรั่วแม้มันจะเรื้อน แต่ถ้านับกันที่แนวทางที่เป็นของตังงานนี่คืองานที่ต้องประทับตราว่า อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ดู