รีวิว Twenty-Five Twenty-One ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด ซีรีส์รอมคอม อบอุ่นหัวใจ ที่อยากให้ทุกคนได้ดู บทความรีวิวนี้ ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผม หากผิดพลาดประการใด หรือไม่ถูกใจใครต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ก่อนจะมาเริ่มการรีวิวเรามาดูเรื่องย่อกันก่อนดีกว่า
เรื่องย่อ Twenty-Five Twenty-One ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด
ซีรีส์เรื่องนี้จะเริ่มจากยุคปัจจุบัน นาฮีโด (รับบทโดย คิมแทรี) ที่ตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง เธอเป็นนักกีฬาฟันดาบที่มีชื่อเสียง จนวันหนึ่ง ลูกสาวของนาฮีโด ได้ไปเจอเข้ากับไดอารี่ที่แม่ของเธอเคยเขียนไว้ในสมัยวัยรุ่น ซึ่งซีรีส์จะพาเราย้อนกลับไปในยุค 90 เพื่อเล่าเรื่องราวชีวิตวัยรุ่นของนาฮีโด เริ่มที่นาฮีโดตอนอายุ 17 ตอนนั้นเธอเป็นนักกีฬาฟันดาบ และอยู่ในชมรมฟันดาบของโรงเรียน เธอมีฝันที่จะเป็นนักกีฬาฟันดาบที่ประสบความสำเร็จให้ได้ แต่ระหว่างทางกว่าที่เธอจะทำตามฝันได้สำเร็จ เธอจะต้องเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งความฝัน การผิดหวัง มิตรภาพ ความรัก และการเลิกรา ซึ่งซีรีส์จะค่อยๆเล่าและร้อยเรียงเรื่องราวให้กับเราไปทีละนิด ซึ่งชีวิตเธอเริ่มวุ่นวายตั้งแต่ที่ได้เจอเข้ากับ แพคอีจิน (รับบทโดย นัมจูฮยอก) โดยบังเอิญ ซึ่งแพคอีจินก็มีความฝันของเขาเช่นเดียวกัน แต่ชีวิตเขาก็ต้องเจออุปสรรค เนื่องจากครอบครัวของเขาล้มละลาย สมาชิกทุกคนในบ้านต้องแยกกันอยู่ไปคนละทิศ คนละทาง ทำให้แพคอีจินต้องออกมาหางานทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และเก็บเงินเพื่อปลดหนี้ ครอบครัวของเขาจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ซึ่งทั้งแพคอีจินและนาฮีโด ต่างคอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มสานสัมพันธ์ และสนิทกันมากขึ้น บทสรุปของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยที่ตรงไหน ต้องไปรับชมกันด้วยตาตัวเอง ซีรีส์ Twenty-Five Twenty-One มีทั้งหมด 16 ตอน ดูได้ทาง Netflix
รีวิว Twenty-Five Twenty-One
เอาหละ มาเริ่มรีวิวกันเลยดีกว่า บอกก่อนว่าผมกดเข้าไปดูเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญ และพอดูไปดูมา ดันติดแบบไม่รู้ตัว ผมจะของพูดถึงจุดแข็งของเรื่องนี้ก่อนเลยก็แล้วกัน นั่นก็คือ บทและการดำเนินเรื่อง เพราะบทของเรื่องนี้เขียนออกมาได้ดีมากๆ เกลี่ยบทได้ดีด้วย มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ซ่อนอยู่เต็มไปหมด และคนเขียนบทก็ฉลาดมาก ที่เล่าเรื่องด้วยการให้คนดูตั้งคำถาม ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำให้คนติดซีรีส์เรื่องนี้กันงอมแงม และตั้งตารอตอนใหม่กันทุกอาทิตย์ ซึ่งคนเขียนบททำสำเร็จจริงๆ ส่วนที่ชอบคือเรื่องความสัมพันธ์ตัวละคร ที่วางเอาไว้อย่างดี มีที่มาที่ไป ไม่ไร้เหตุผล ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบความสัมพันธ์ของ นาฮีโด และ โกยูริม ในฐานะนักกีฬา ความสัมพันธ์ของคู่นี้ทำมาดีมากๆ และก็ดียันบทสรุปเลย มันสวยงาม และน่าจดจำจริงๆ
ส่วนความสัมพันธ์ของคู่เอกอย่าง นาฮีโด และ แพ็คอีจิน ส่วนตัวผมก็ชอบเหมือนกัน มันเป็นการแสดงให้เราได้เห็นว่า “รักแรก” มันเป็นยังไง ความรักของวัยรุ่นที่มอบหัวใจให้คนรักทั้งดวง รักแบบไร้เหตุผล พร้อมกระโจนเข้าใส่มันแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่อยากพูดเยอะ ไปดูกันเอาเอง และผมก็คิดว่าหลายๆคน ที่ดองไว้กะมาเริ่มดูตอนซีรีส์ออกอากาศจบ คงได้เจอกับสปอยล์ตอนจบของเรื่องนี้กันไปไม่น้อย เพราะหลังจากตอนสุดท้ายจบ คนก็แคปกันลงเต็มเฟสเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเซ็งจริงๆ เพราะผมอยากให้ทุกคนได้ดู ซีรีส์มันทำดีมากๆจริงๆ พูดในฐานะซีรีส์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้นะ ส่วนตัวผมอยากให้คนที่โดนสปอยล์ไปแล้ว ลองเปิดใจดู อย่าพึ่งเทไปเลย เพราะมันก็แค่ตอนจบ ระหว่างทางมันมีเรื่องราวดีๆมากมาย เลยไม่อยากให้พลาดกันจริงๆ
ต่อมาเรื่องการแสดง เรื่องนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะติเหมือนกัน เพราะนักแสดงเล่นได้ดีทุกคนจริงๆ คิมแทรี ที่รับบทเป็นนาฮีโด ก็ตีบทแตกจริงๆ ตัวจริงอายุ 31 แต่มารับบทเป็นเด็กอายุ 18 แถมยังเล่นได้เหมือนเด็ก 18 จริงๆอีก ยอมรับเลย ซึ่งเธอเล่นดีทั้งบทตลกโปกฮา และดราม่า คือแสดงได้หมด ต่อมาที่พระเอกอย่าง นัมจูฮยอก ที่รับบทเป็น แพคอีจิน ผมว่าในเรื่องนี้ฝีมือเขาพัฒนาขึ้นกว่าเดิม ตอนดูใน Start-Up (2020) ผมว่าเขาแสดงได้ธรรมดามากๆ หน้ามีอยู่อารมณ์เดียว ซึ่งในเรื่องนี้ แม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามาก แต่เขาแสดงผ่านแววตาได้โคตรดี และมันเหมาะกับบุคลิกของตัวละครด้วย คือดูเป็นคนที่แบกทุกอย่างไว้กับตัวเอง โดยเฉพาะฉากดราม่า แววตาที่พี่แกแสดงออกมา แม้งโคตรหน่วงเลย ถือว่าแสดงได้ดีแล้ว แต่สามารถพัฒนาให้ดีกว่านี้ได้อีก คงต้องรอติดตามพัฒนาการของเขาในซีรีส์เรื่องอื่นๆในอนาคต ว่าจะทำได้ดีกว่าเดิมไหม ส่วนนักแสดงคนอื่นๆในเรื่อง ก็แสดงได้ดีทุกคน ทุกคนเล่นได้สมบทบาท และตีบทแตกกันหมด ไม่มีอะไรจะติเลย
พอบทมันดีแล้ว มาเจอกับการแสดงที่ดี มันยิ่งส่งเสริมกัน และทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ออกมาดี แต่ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่นั้น เพราะด้านงานภาพ เสื้อผ้าหน้าผม การโปรดักชั่นต่างๆ กลับทำออกมาได้ดีไม่แพ้กันเลย ภาพสวยมากๆ โทรสีที่ใช้ก็สวยและเหมาะกับบรรยากาศในซีรีส์ เสื้อผ้าหน้าผมนี่ก็ถือว่าดีในระดับนึงเลย เพลงที่เลือกใช้ก็ติดหูพอสมควร ส่วนสุดท้ายด้านโปรดักชั่น อันนี้คือดีเกินขอบเขตซีรีส์ไปแล้ว ลงทุนจริงๆ ฉากตอนที่นาฮีโดไปแข่งซีเกมครั้งแรก คือเหมือนอยู่ในงานซีเกมจริงๆ มีป้ายชื่องานขนาดยักษ์ติดอยู่ฉากข้างหลัง แถมตามที่นั่งคนดูก็มี คือเก็บรายละเอียดหมด ไม่ว่าจะเล็กๆน้อยๆ ส่วนฉากอื่นๆในเรื่องก็เป็นช่วงเวลายุค 90 ซึ่งก็ทำได้เหมือนยุคนั้นจริงๆ ผมไม่แน่ใจว่าใช้ซีจีหรือป่าว แต่ต่อให้ใช้ซีจีจริงๆก็ทำออกมาได้เนียนมาก เทียบกับเรื่อง Snowdrop ที่อยู่ในยุค 80 ฉากออกไปถนนแต่ละทีนี่ซีจีโคตรลอย สุดท้ายแล้วโดยรวมเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมากๆ ในเกือบทุกด้าน เก็บรายละเอียดยิบย่อยได้ครบทุกเม็ดจริงๆ บทดี การดำเนินเรื่องดี บรรยากาศในเรื่อง งานภาพ และการแสดง ดีหมด แต่เหตุผลที่ให้เต็ม 10 ไม่ได้เพราะมันยังไม่ดีที่สุด ส่วนตัวผมมองว่าเรื่องเพลงประกอบยังไม่ค่อยแจ๋วเท่าไหร่ และการแสดงก็ทำให้ดีกว่านี้ได้ แต่ก็หักลงมาไม่เยอะ เพราะมันดีมากในระดับนึงเลย
ตีความตอนจบ ความรู้สึกส่วนตัว (มีสปอยล์)
ตอนจบของซีรีส์เรื่องนี้ มีหลายคนเลยที่รู้สึกไม่ชอบ ไม่ใช่หลายคนหรอก ส่วนใหญ่เลยแหละ เพราะตอนจบมันค่อนข้าง งงๆ จบแบบให้เราไปตีความกันเอาเอง แต่ละคนก็มีเหตุผลที่ไม่ชอบไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่ชอบเพราะมองว่าจบไม่ดี พระนางไม่ได้คู่กัน ส่วนบางคนมองว่าตอนจบตัดต่อไม่ดี เล่าเรื่อง งงๆ และบางคนก็ไม่ชอบเพราะตอนจบไม่ยอมสรุปเรื่องราวทั้งหมดที่คาใจคนดู ว่าสรุปแล้วนางเอกแต่งกับใคร มินแชคือลูกใคร ซึ่งส่วนตัวสำหรับผม รู้สึกเฉยๆกับตอนจบ ไม่ได้ถึงกับชอบ และก็ไม่ได้ถึงกับเกลียด
มาดูกันทีละเรื่อง ส่วนตัวผมเข้าใจเหตุผลที่ทั้งคู่เลิกกัน และชอบด้วยที่จบแบบนี้ เพราะในชีวิตจริง ก็มีหลายๆคู่ที่ลงเอยกันแบบนี้ การจากลากันทั้งที่ยังรักกันอยู่ ซึ่งในเรื่องนี่ทั้งคู่รักกันมากๆ แต่ต้องเลิกกันเพราะความไม่เข้าใจ เป็นตัวอย่างให้เราได้เข้าใจว่า ความรักบางทีมันก็ไม่พอ ซึ่งคนบางคนก็มองว่า เอ้า แค่ไม่อยู่ด้วยกันแปปเดียวเอง ทนอีกหน่อยก็ได้รักกันแล้ว แต่อย่าลืมซิครับว่านี้คือ “รักแรก” ของทั้งคู่ แถมยังเป็นรักของ “วัยรุ่น” อีก วัยรุ่นที่มักจะเผลอใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
ดูจากฉากที่ทั้งคู่ทะเลาะกันตรงอุโมงค์ คือรักกันแหละ แต่ว่าคำพูดที่พูดออกมา มันมีอารมณ์ผสมอยู่ นาฮีโดเองที่เป็นฝ่ายรอมาตลอด ก็ไม่อยากที่จะรอแล้ว และก็กลัวว่าตัวเองจะเจ็บปวดเหมือนกับที่แม่เคยทำไว้ในวัยเด็ก เลยตัดสินใจที่จะบอกเลิก ส่วนอีจินก็รักฮีโดมากเกินไป จนมีอะไรก็ไม่ยอมบอก เพราะกลัวนาฮีโดจะเครียด ซึ่งในมุมมองนาฮีโดมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะคนรักกันควรจะรับฟัง และให้กำลังใจกัน แต่พระเอกกลับเลือกที่จะเกรงใจ มันจึงทำให้นาฮีโดรู้สึกเหมือนพระเอกไม่ไว้ใจ จึงโกรธและบอกเลิกไปดื้อๆ
มาที่ฉากสุดท้ายที่นาฮีโดในปัจจุบัน เดินไปที่อุโมงค์ ซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นฉากที่นาฮีโดตอนแก่มาแก้ปมในวัยเด็กของตัวเอง โดยที่แพคอีจินไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ และไม่ได้รับรู้ด้วยเลย และคำพูดของแพ็คอีจินก็คือมโนของนาฮีโด ซึ่งซีรีส์ให้เราเห็นแบบกำกวมมากๆ ส่วนตัวผมดันตีความไปอีกแบบ และก็ไม่รู้ว่าแบบไหนกันแน่ที่ถูก ผมมองว่าคำพูดของแพ็คอีจิน น่าจะเป็นคำพูดที่เขียนอยู่ในไดอารี่ที่นาฮีโดพึ่งได้คืน เพราะว่าไดอารี่เล่มนี้มันหายไปตอนที่นาฮีโดเลิกกับแพคอีจินไปแล้วซักพัก คำพูดฝั่งนาฮีโดในตอนจบ จึงอาจเป็นสิ่งที่นาฮีโดเขียนไว้ก่อนเลิกกับแพคอีจินก็เป็นได้ เพราะเธอมานึกเสียใจว่าเราไม่น่าเลิกกันแบบนั้นเลย ซึ่งไดอารี่นั้น ดันมีคนเจอและส่งไปให้แพคอีจิน จึงเป็นไปได้ว่าแพคอีจินอาจเขียนตอบข้อความนั้นในไดอารี่ และฝากเถ้าแก่ร้านหนังสือไว้ให้นาฮีโด หรือเอาง่ายๆก็คือ ฉากสุดท้ายคือคำพูดของทั้งคู่ที่บอกลากันผ่านไดอารี่ และไดอารี่นั้นก็พึ่งมาถึงมือนาฮีโดในวันที่เวลาผ่านมานานมากแล้ว จึงไม่แปลกที่นาฮีโดจะบอกว่า “ฉันปล่อยให้นายยืนรออยู่ตรงนี้ตั้งนาน” เพราะนาฮีโดพึ่งจะรู้ว่า อีจินรู้แล้วว่าเธอไม่อยากเลิกกันแบบนั้น อันนี้คือความคิดของผมนะ แต่ผมอาจจะผิดก็ได้ ท้ายสุดนี้ผมขอให้คะแนน ซีรีส์ Twenty-Five Twenty-One ไว้ที่ 8.5/10
สุดท้ายนี้ ฝากกดติดตาม และกดแชร์ ให้ด้วยนะครับ