NETFLIX : 1 Season 16 Episodes (2019)
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมักเอ่ยถึงบ่อยถึงงานซีรีส์เกาหลีที่ได้ชมนอกจากเรื่องบทที่เข้าขั้นดี ชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ความหลากหลายในเนื้อหา แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือความกล้า กล้าที่จะเล่นหรือเล่าเรื่องในประเด็นสุ่มเสี่ยง ทั้งเรื่องของการคอรัปชั่นทั้งในระดับตัวบุคคลและเชิงระบบ ความอยุติธรรมหรือความฉ้อฉลของกลไกหลายๆอย่าง ด้านมืดของสังคมและตัวบุคคล กล้าที่จะตีแผ่เรื่องของชนชั้น กล้าที่จะขบถต่อบริบททางสังคม แต่ก็มีสิ่งที่ยังไม่เคยเจอคือการขบถต่อศีลธรรม
ซึ่งเท่าที่เห็นคือการเล่าเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมให้เป็นเรื่องที่ผิด ซึ่งมันก็เป็นไปตามครรลองของสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมของชาวตะวันออก เพราะมันคือเรื่องปกติและคุ้นชิน แต่ในคืนหนึ่งมีผู้อ่านท่านหนึ่งได้ส่งข้อความทางMessenger มาบอกว่าอยากอ่านมุมมองของงานซีรีส์ที่เดาว่าคงเป็นที่ประทับใจของผู้อ่านท่านนั้น แต่ขณะนั้นผู้เขียนยังดูงานอีกเรื่องค้างอยู่แต่ในใจก็ยังรู้สึกมีอะไรมาดึงดูด แล้วเราก็ตัดสินใจลองเปิดดูสักตอนในตอนดึกของคืนนั้นเองจนปรากฏว่าต้องพักการดูเรื่องอื่นเพื่อมาดูเรื่องนี้ เพราะเพียงแค่ตอนแรกก็มองเห็นความน่าสนใจในความกล้าที่จะนำเสนอเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีลธรรม แต่มันกลับดึงดูดความสนใจให้ดูอย่างต่อเนื่องอย่างน่าประหลาด
เรื่องย่อ
ความเมาเป็นเหตุสังเกตได้ที่ทำให้อีจองอิน เดินเข้าร้านขายยาในสภาพเพิ้งเต็มที่เพื่อซื้อยาแก้เมาค้าง แต่ด้วยความเรื้อนของตัวเธอทำให้เธอลืมกระเป๋าเงิน ยาก็กินแล้วแต่ไม่มีเงินจ่าย เมื่อตกลงเรื่องค่ายากับยูจีโฮเภสัชกรหนุ่มหล่อประจำร้านได้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือค่าแท็กซี่อย่ากระนั้นเลยยูจีโฮให้เธอยืมเงินค่าแท็กซี่โดยแลกเบอร์โทรกันไว้ แต่เหตุการณ์เพียงแค่นั้นใครจะคิดว่ามันคือจุดเริ่มต้นของคนสองคนเมื่อต่างคนต่างลืมกันไม่ลง ภาพในจิตไต้สำนึกมันผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง และแน่นอนว่าเขาและเธอตกหลุมรักกันเมื่อแรกเจอ
ทว่าตัวอีจองอินมีแฟนอยู่แล้ว หนำซ้ำแฟนของเธอคือรุ่นพี่มหาวิทยาลัยของยูจีโฮที่เล่นบาสด้วยกัน แต่เมื่อหัวใจมันร่ำร้องอย่างหนักแม้เขาและเธอจะพยายามขัดขืน ที่สุดแล้วมนุษย์ไม่มีวันเอาชนะหัวใจของตนเองได้ ความสัมพันธ์ของจองอินกับจีโฮจึงเริ่มต้นขึ้นจากจุดที่จองอินพยายามเข้าหาจีโฮก่อนด้วยซ้ำ และมันคือการที่จองอินคือผู้หญิงที่กำลังนอกใจแฟนของตัวเอง
ถ้านั่นยังไม่ยุ่งยากมากพอจีโฮคือคนที่มีแผลใจจากอดีตและคือพ่อเลี้ยงเดี่ยว ความสัมพันธ์ของเธอและเขาจึงต้องก้าวผ่านความยากลำบากของกำแพงที่เรียกว่าศีลธรรม รวมถึงบริบททางสังคมที่ผู้ชาย(หรือกระทั่งผู้หญิง)ที่เลี้ยงลูกคนเดียวมักจะถูกมองด้วยสายตาดูถูกจากสังคม แต่เมื่อคนสองคนมีใจตรงกันสิ่งที่เขาและเธอจะทำได้คือจับมือและฝ่าฟันไปด้วยกัน จนถึงที่สุดเรื่องราวก็ไม่ได้นอกเหนือไปจากการคาดเดา แต่ชั้นเชิงระหว่างทางกลับเยี่ยมพอที่จะให้เรื่องราวที่หมิ่นเหม่นี้มีความชอบธรรมอย่างน่าประทับใจที่สุด ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเราเองที่รู้สึกขัดใจในช่วงต้น
บทที่กล้าเล่าเรื่องหมิ่นเหม่ที่เป็นเรื่องผิด แต่ใส่พัฒนาการให้มองเห็นความชอบธรรม จนทางแยกกลายเป็นทางเลือก ด้วยพื้นฐานความเป็นมนุษย์
สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมคือความกล้า ความกล้าที่จะเขียนบทออกมาแบบเพี้ยนและบิดเบี้ยวเชิงตรรกะ หากแต่ก็เป็นงานด้านบทที่เยี่ยมพอที่จะสร้างความขัดขืนในใจ สร้างทางแยกให้หัวใจผ่านสายตาในการมองการกระทำของอีจองอิน ความขัดใจที่ว่ามาจากพื้นฐานของการอยู่ในสังคมที่อุดมไปด้วยศีลธรรมฉาบฉวย เมื่อตัวบทเองกล้าวางบทนางเอกเป็นหญิงที่พบรักกับชายคนใหม่ในขณะที่ตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว แม้จะยังไม่แต่งงานก็ถือว่านอกใจใช่หรือไม่ ซึ่งบทก็เริ่มต้นมาด้วยการเชิญชวนให้ผู้ชมขัดใจในการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมนั้น
แต่กระนั้นเมื่อเรื่องราวดำเนินไป บทที่ชี้นำให้คนดูขัดขืนในใจเมื่อแรกเริ่มกลับค่อยๆสร้างความชอบธรรมให้กับอีจองอิน เมื่อเริ่มเผยให้เห็นว่าแม้เธอจะทำเรื่องที่ผิดแต่มันคือความตั้งใจของเธอที่จะเลิกกับแฟนอยู่แล้วเพียงแต่ยังไม่ได้เอ่ยออกมา แล้วก็ค่อยๆเผยให้เห็นความน่ารังเกียจในสันดานผู้ชายที่เธอคบอยู่มาทีละน้อย พัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งผู้ชมสงสารและเห็นใจอีจองอินและรังเกียจในพฤติกรรมแฟนของเธอ
อีกความกล้าหนึ่งคือการวางตัวพระเอกให้เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวซึ่งปกติมักจะไม่เห็นเรื่องไหนที่เล่าถึงพ่อลูกติด และมันเป็นความกล้าที่จะฉีกหน้ากากศีลธรรมในสังคมเกาหลี ไม่สิ สังคมเอเชียที่ยังมองคนเหล่านี้ด้วยสายตาที่แตกต่างเหมือนไม่มีที่ว่างในใจให้กับพวกเขา อีกทั้งยังว่ากันที่เรื่องประเด็นการแต่งงานตามความเห็นชอบของพ่อแม่ การคลุมถุงชนที่บางทีความหวังดีกลับส่งผลร้ายเมื่อมันไม่ได้มาด้วยความรัก และสืบต่อไปยังประเด็นความคับแคบอย่างน่ารังเกียจของสังคมนิยมชาย ผ่านความเป็นพ่อที่เป็นเผด็จการในบ้านในครอบครัวของจองอิน
ด้วยบทที่คมคาย หลักแหลม และลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ไม่ดูยัดเยียดหรือฝืนโดยที่ยังคงรักษาแกนหลักของเรื่องคือความเป็นโรแมนติกดราม่าที่ในส่วนของความโรแมนติกยังได้ผลดีและได้ใจ เพราะเรื่องความรักมันมีพัฒนาการและสัมผัสได้ด้วยเรื่องราวที่เป็นปัจเจก เรื่องที่เป็นไปได้ในสังคม เรื่องที่เป็นเรื่องใกล้ตัวสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ไม่ใช่นิยายก่อนนอน และมันเยี่ยมจนมองไม่เห็นถึงการหลงประเด็นหรือละเลยบางเรื่องไว้ แถมยังคงมั่นกับความโรแมนติกได้อย่างไม่หลุดโทน
ซึ่งต้องสารภาพเลยว่าสำหรับเรื่องนี้ถ้าผู้เขียนอายุตัวเองลงสักยี่สิบห้าปี อาจจะมองในมุมความโรแมนติกของคนสองคนที่มาพบรักกัน แต่ด้วยวัยในปัจจุบันผู้เขียนยอมรับว่าก็อินแต่ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น เพราะเรื่องบางประการที่ถูกสื่อออกมา ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนจะเป็นตัววัดว่าจะรู้สึกกับเรื่องที่ได้เห็นในมุมไหน เช่นการพบรักทั้งที่เจอกันครั้งเดียวที่ใครหลายคนอาจตั้งคำถามในความสมเหตุผล ซึ่งคงต้องบอกว่ามันเป็นไปได้เพราะตัวเองก็อยู่กับสตรีที่พบหน้าครั้งแรกแล้วเรารู้สึกว่าเธอคือคนที่ใช่ และก็อยู่กับเธอมาทั้งชีวิต
และปัจจุบันแม้ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับความโรแมนติกมากมายแล้ว แต่สายตาและหัวใจก็ยังมองเห็นอะไรหลายอย่างเบื้องหลังความโรแมนติกนั้น แม้จะเริ่มที่ความขัดใจกับคำว่านอกใจ แต่เมื่อเรื่องราวผ่านไปเรากลับรู้สึกเห็นใจอีจองอิน เพราะผู้ชายอย่างควอนกีซอก (คิมจุนฮัน)ได้เผยธาตุแท้ให้เห็นถึงทัศนคติที่คับแคบและเลวร้ายที่สุด ความสัมพันธ์สี่ปีที่มีกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวกีซอกบอกว่ารักและอยากแต่งงานด้วยกลับกลายเป็นความชะล่าใจ มองผู้หญิงเป็นของตายกลายเป็นความเฉยชาจะทำร้ายจิตใจยังไงก็ได้โกรธก็ง้อ
ด้วยทัศนคติแบบผู้ชายทำอะไรก็ถูกโดยไม่คิดว่าผู้หญิงก็มีจิตใจ และความรักความอดทนมันก็มีวันหมดอายุ จนเมื่อจองอินรู้ตัวว่าไม่มีเยื่อใยแล้วการจะรั้งเธอไว้มีวิธีการมากมายที่ไม่ใช่การกระทำที่คับแคบและน่ารังเกียจกลับไม่เลือก ส่วนฟางอีกเส้นคือทัศนคติในการมองคนไม่เท่ากันที่กีซอกมองจีโฮที่ว่าไม่มีอะไรสู้เขาได้ ถึงที่สุดสิ่งที่กีซอกทำคือการทำเพื่อเอาชนะจีโฮที่เขาดูถูกหาใช่ทำไปเพราะรักจองอิน ถามว่าในความเป็นจริงมีผู้ชายแบบนี้หรือไม่ตอบเลยว่ามี และมันทำให้เห็นความยอดเยี่ยม มีความสมเหตุสมผลที่ทำให้ตัวละครที่ควรจะน่าสงสารจากการถูกนอกใจกลายเป็นน่ารังเกียจจากพื้นฐานในกมลสันดานล้วนๆ ดูหนังใหม่
เพราะความรักไร้ทฤษฎี บางครั้งสิ่งที่ผิดอาจถูก หรือสิ่งที่ถูกก็อาจผิด
อีจองอิน… ถามว่าเธอผิดหรือไม่กับการนอกใจตอบเลยว่าผิด เพียงแต่การมองความผิดนั้นจากสิ่งที่ตาเห็นเพียงอย่างเดียวอาจไม่ยุติธรรมนัก เมื่อเห็นสิ่งที่เธอต้องอดทนกับสี่ปีที่คบกับจีซอก ที่จริงความสัมพันธ์ของคนสองคนเมื่อนานๆจะกลายเป็นความชาชินอันนี้ไม่ปฏิเสธ เวลาที่คบกันอยู่ด้วยกันจะทำให้มองเห็นข้อดีข้อด้อยของอีกฝ่ายแล้วปรับตัวเข้าหากันแล้วก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความรักความเข้าใจ แต่หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอมเดินเข้ามาและทำอะไรไม่คำนึงถึงจิตใจอีกฝ่ายแบบซ้ำๆความรักมันก็หมดอายุได้ และสุดท้ายการแสร้งทำเป็นรักในขณะที่ไม่มีเยื่อใยแล้วต่างหากคือความเจ็บปวดที่สุด
แล้วอีจองอินก็เลือกที่จะเดินออกมา เพียงแต่ก่อนที่เธอจะเดินออกมาเธอได้พบรักใหม่ก่อนมันจึงกลายเป็นความผิดในสายตาของสังคม แต่ก็เป็นความผิดที่น่าเห็นใจไม่ใช่หรือ? และสำหรับอีจองอินเธอยังกล้าที่จะก้าวออกมา ไม่ไหวก็ไม่ฝืนทำให้เธอได้พบกับความสวยงามในรักใหม่ แต่จะมีกี่คนที่กล้าเหมือนอีจองอินและยอมทนอยู่กับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นของตายเป็นคู่นอนที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้แบบนั้น มันไม่ยิ่งเจ็บปวดกว่าหรือ? ถามว่าเรื่องราวแบบนี้ในโลกจริงๆเกิดขึ้นได้ไหมตอบเลยว่าเกิดขึ้นได้แน่นอนไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัว และมันคืออีกความเยี่ยมที่ว่าด้วยเรื่องที่ผิดให้กลายเป็นความน่าเห็นใจ และคนที่น่าจะถูกเกลียดกลับเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด
ส่วนยูจีโฮ…. เขาคือคนที่รวดร้าวในอดีตที่ไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุที่แม่ของลูกจากไป เวลาจะเยียวยาหัวใจมันก็ใช่แต่มันไม่ใช่กับแผลลึกขนาดนี้ยูจีโฮคือคนที่เจ็บปวดแม้ในฉากหน้าจะเหมือนลืมไปแล้วแต่ลึกๆในใจไม่มีใครลืมลง ก่อนมาพบกับอีจองอินพลังงานเดียวที่ค้ำยันหัวใจที่ย่อยยับของเขาคืออึนอูผู้เป็นลูก ลูกคือทุกสิ่งอย่างในชีวิตเมื่อเรื่องราวมันลามมาหาลูกเขาจึงเจ็บปวด และเผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วแผลในใจแม้มันจะดูเหมือนไม่เจ็บแต่มันก็ไม่หาย และฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขาไม่ยอมที่จะขืนขัดใจตัวเองปล่อยอีจองอินไปเมื่อควอนกีซอกทำการดูหมิ่นเขาต่อหน้าลูก
ในความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวนี้ถ้าอีจองอินผิดที่นอกใจ ควอนกีซอกก็ผิดเพราะความเลวร้ายในกมลสันดาน คนเดียวที่ไม่ผิดอะไรคือยูจีโฮ เขาไม่ผิดที่ตกหลุมรักอีจองอินเพราะไม่รู้ เขาไม่ผิดที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวเพราะโชคชะตาไม่ได้มอบความสวยงามให้ทุกคน เขาไม่ผิดที่ผลักใสอีจองอินในครั้งแรกเมื่อเขาทราบว่าอีจองอินเป็นแฟนกับรุ่นพี่และเขาคือพ่อเลี้ยงเดี่ยว และเขาก็ไม่ผิดที่สุดท้ายจะทำตามหัวใจเรียกร้องและจับมือฝ่าฟันอุปสรรคทั้งเรื่องสังคม ศีลธรรมจอมปลอม และครอบครัวของอีจองอินไปพร้อมๆกับเธอ และความยอดเยี่ยมคือมอบความสุขให้คนที่เจ็บปวดที่สุดในตอนแรกได้พบแสงสว่างในตอนท้ายอย่างสวยงาม
การแสดงที่จัดการได้ทุกมิติทางอารมณ์ เพราะนี่คือเรื่องที่สังคมตัดสินได้ไว้แล้ว
ถ้าบทและชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ได้ผลกับอารมณ์ผู้ชมอย่างสุดหัวใจ พร้อมพัฒนาการเรื่องความรักที่มองเห็นและสัมผัสได้แล้ว การแสดงในเรื่องนี้ก็จัดว่าเข้าขั้นยอดเยี่ยม ที่ต้องบอกว่าสุดจัดเลยต้องยกนิ้วให้ฮันจีมิน ที่แสดงจนผู้ชมค่อยๆคลายความแคลงใจและค่อยๆเห็นใจ สงสาร และเอาใจช่วย การแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าแววตาทำได้อย่างได้ใจผู้ชม ในอารมณ์อึดอัดปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชมถอนหายใจไปกับเธอหลายต่อหลายครั้ง ประกอบกับเสน่ห์และพลังดึงดูดสายตาที่มาอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกครั้งที่ขึ้นจอสายตาผู้ชมจะจับจ้องไปที่เธอ
ส่วนจองแฮอินมอบการแสดงที่น่าสงสาร สายตาดูรวดร้าวตลอดเวลาทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่าฉากหน้าที่ดูยิ้มแย้มในใจมีอะไรข้างใน แต่เมื่อต้องรับบทเป็นพ่อสายตารวดร้าวและโศกเศร้านั้นกลับหายไปกลายเป็นดวงตาที่ทอประกาย ซึ่งต้องบอกว่าน่าทึ่งสำหรับคนที่ยังไม่ได้มีประสบการณ์การเป็นพ่อคนและเขาทำได้อย่างน่าเชื่อถือ ส่วนคนที่น่ารังเกียจอย่างคิมจุนฮันก็ออกมาด้วยความน่าหมั่นไส้ตั้งแต่แรก และแม้จะน่าสงสารแต่สายตาและพฤติกรรมก็น่ารังเกียจเกินจะสงสารลง แน่นอนว่าผู้ชมรังเกียจเขาเต็มที่ซึ่งถ้าแสดงได้ไม่ดีไม่มีทางน่ารังเกียจได้โล่แบบนี้
อีกทั้งตัวเรื่องยังเต็มไปด้วยนักแสดงสมทบในระดับยอดเยี่ยมอีกครั้ง ทั้งพ่อจองอินที่หัวโบราณและทัศนคติที่คับแคบจนน่ารังเกียจไปอีกคน แม่จองอินที่แม้จะเห็นใจลูกแต่ก็อยู่ในสภาพช้างเท้าหลังในสังคมเกาหลี พ่อแม่จีโฮที่จิตใจดีงามและแม้จะดูยากไร้และคร่ำครึ แต่ถึงที่สุดความสุขของลูกต้องมาก่อนต่างกับพ่อจองอินอย่างขาวกับดำ และด้วยงานด้านภาพที่เสนอความสวยงามของค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระเบ่งบาน เพลงประกอบเพราะๆซึ้งๆติดหูอีกเช่นเคย บทที่ดีจนไม่รู้จะติตรงไหน หลายๆฉากที่ทรงพลังแม้จะนิ่งๆเงียบๆเช่นฉากที่แม่จองอินกับแม่จีโฮนั่งคุยกันที่ผู้ชมบางท่านอาจน้ำตาเอ่อได้ ประเด็นทางสังคมและความคมคายของบทที่เป็นธรรมชาติ ไม่เร่งเร้า ไม่ยัดเยียดและใกล้ตัวก็ทำให้ผู้เขียนตกหลุมรักเรื่องนี้เข้าเต็มเปา
เชื่อเหลือเกินว่า เมื่อตอนต้นหลายๆคนจะเป็นเช่นเดียวกันคือรู้สึกขัดใจกับบทที่วางไว้แบบหมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกด้านศีลธรรมในใจ สำหรับผู้เขียนเองยอมรับว่าสองตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆอยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้หยุดดูไม่ได้ในช่วงแรกคือเสน่ห์ของนักแสดงและมิติของตัวละคร ที่มีความน่าสนใจเกินกว่าต่อมศีลธรรมจอมปลอมจะทำงาน แล้วเมื่อถึงเวลาอันควรเรื่องราวก็ค่อยๆสร้างความชอบธรรมในใจผู้ชม ให้มองลึกลงไปถึงสาเหตุของเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนนี้
ความคมคายของบทที่มีพัฒนาการ ความแยบยลในการวางประเด็นรองเรื่องของสังคม การฉีกหน้ากากศีลธรรมจอมปลอมที่พิพากษาการกระทำบางประการโดยไม่มองให้ลึกซึ้งถึงสาเหตุ การตบหน้าบริบททางสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่แต่คับแคบ การฉีกหน้ากากความเลวร้ายของการเลี้ยงดูลูกแบบคับแคบและเผด็จการ โดยไม่มองว่าแม้เราจะให้กำเนิดลูกมาแต่เราไม่ใช่เจ้าของ
เพราะลูกมีชีวิตจิตใจมีความคิดเป็นของตัวเอง กรอบของเราจึงไม่สามารถเอาไปตีให้ลูกได้ด้วยพื้นฐานและสังคมในยุคสมัยที่ต่างกันทำให้พวกเขารับรู้หลายๆอย่างที่เราไม่รู้ และเขามีความคิดเป็นของเขา และถึงที่สุดพ่อแม่ก็แค่เปิดใจรับฟังเท่านั้น แม้เรื่องราวประเด็นเหล่านี้ยังเข้มข้นแต่เรื่องราวหลักว่าด้วยความโรแมนติกก็ยังคงแน่วแน่และซื่อตรง สำหรับคนในวัยขนาดผู้เขียนยังมองว่า มันคือส่วนผสมที่กลมกล่อมในการผสานความโรแมนติกกับประเด็นเรื่องของศีลธรรมและสังคมอย่างสวยงามที่สุด อาจดูหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมมโนธรรมแต่ก็ยังประทับใจที่สุดอยู่ดี
ดูไปบ่นไป
NETFLIX