ภาพยนตร์เกาหลีแนวโรแมนติก-คอมเมดี้ เรื่อง My Worst Neighbor ที่ได้สองนักแสดงนำอย่าง อีจีฮุน และ ฮันซึงยอน อดีตสมาชิกวง KARA มารับบทเป็น “เพื่อนบ้าน” ในภาพยนตร์ฉบับรีเมคจากต้นฉบับเรื่อง Blind Date (2016) เมื่อหนุ่มนักดนตรีอย่าง ที่กำลังเก็บตัวออดิชั่น ย้ายเข้ามาอยู่ห้องข้าง ๆ หญิงสาวคนหนึ่งที่มีนิสัยชอบเก็บตัวเพราะโรคที่เธอเป็น แต่ปัญหาดันเกิดขึ้น เพราะกำแพงห้องบางมาก จนแต่ละฝ่ายสามารถได้ยินเสียงกิจกรรมระหว่างวันของกันและกันได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องตกลงแบ่งเวลากันใช้ห้อง จนเกิดเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่
รานี รับบทโดย ฮันซึงยอน
หนังมีความยาว 1 ชั่วโมง 50 นาที เน้นการเล่าเรื่องเฉพาะอพาร์ทเมนต์เป็นหลัก ทำให้เซ็ตติ้งส่วนใหญ่ เป็นการเล่าเรื่องราวในห้องของทั้งสองคน ที่ถึงแม้จะอยู่ต่างห้องกัน แต่ก็เหมือนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลา โดยในช่วงแรกหนังจะเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะ Toxic ของทั้งคู่ ก็อย่างที่เรารู้กันดี ว่าปัญหาเสียงดังจากข้างห้องเป็นมลพิษทางเสียงอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ทำให้ “ซึงจิน” รับบทโดย อีจีฮุน กับ “รานี” รับบทโดย ฮันซึงยอน หาเรื่องมาแก้เผ็ดกันไปมา ด้วยการทำเสียงดังแบบต่าง ๆ เปิดใส่กันทุกวัน เพื่อให้อีกฝ่ายรำคาญแล้วย้ายออกไป
ซึงจิน รับบทโดย อีจีฮุน
พอทำแบบนี้ทุกวัน แน่นอนว่าต้องมีฝ่ายที่ทนไม่ได้อีกต่อไป “ซึงจิน” เลยยื่นข้อเสนอต่อรองขอให้เขากับเธอ แบ่งเวลากันใช้ห้องเพื่อทำกิจกรรมของตัวเอง เพราะการเตรียมตัวออดิชั่นสำหรับเขาเป็นอะไรที่สำคัญมาก ในขณะที่ รานี ก็ปรับตัวจนเคยชินได้แล้วกับเพื่อนบ้านรายนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มพัฒนาขึ้น จากเสียงบ่น ตะโกนต่อว่ากัน กลายมาเป็นคำทักทายกัน ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน มาจนถึงเวลากลับจากงาน ผู้กำกับเลือกใช้ช่วงเวลาของทั้งคู่ที่มีโจทย์ว่า “เพื่อนบ้านทั้งสองคน” ต้องไม่เจอหน้ากัน จนกว่าจะถึงจุดที่บทกำหนดไว้ให้เจอ วิธีการสานสัมพันธ์ของทั้งคู่ เลยเริ่มต้นจากการเคาะผนังห้องเพื่อคุยกัน แลกเปลี่ยนความทุกข์ใจ และปัญหาต่าง ๆ ให้กันและกันฟัง การเริ่มต้นเดตกันของทั้งสองคน เลยกลายมาเป็นการพบกันผ่านจินตนาการบน Google Map เหมือนกับว่าทั้งคู่ได้ไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ มาด้วยกัน
สำหรับตัวละครหนุ่มอย่าง “ซึงจิน” ถึงแม้จะอายุเข้าวัย 31 ปีแล้ว แต่เขากลับรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นเอาไม่เอาไหนเลย ทำงานเพลงก็ไม่ดี ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีจุดโฟกัสอะไรสักอย่าง มีแค่แก๊งเพื่อนสนิทที่คอยสนับสนุนเขา การได้ย้ายมาพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างห้อง ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ถึงขนาดที่เขารู้สึกโกรธแทนเธอ เมื่อรู้ว่าเธอถูกผู้บริหารของบริษัทโกงค่าลิขสิทธิ์ตัวละครที่เธอเป็นคนสร้างขึ้น ทำให้ความรู้สึกของ รานี ที่มีต่อผู้ชายข้างห้องคนนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากแค่ทักทายกันยามเช้า กลายเป็นต่างฝ่ายต่างรอที่จะได้คุยกันหลังเลิกงาน และถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอหน้ากันเลย เขาก็ตัดสินใจที่จะขอเธอให้คบกันเป็นแฟน
สลับมาพูดถึงตัวละครฝ่ายนางเอกอย่าง “รานี” ที่รับบทโดย ซึงยอน หญิงสาวสาย Artist ที่ใช้ชีวิตทำงานของตัวเองอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ไม่ได้ออกไปไหน ยกเว้นจำเป็นที่จะต้องออกไปจริง ๆ โดยมีพี่สาวที่รักเธอมาก แวะมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ การมีผู้ชายอย่าง ซึงจิน ที่คอยพูดคุยให้กำลังใจ รู้สึกโกรธแทนเธอ เสียใจแทนเธอ ทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ฉากที่ซึงจินขอคบผ่านกำแพงห้อง แล้วทั้งคู่ต่างก็เลื่อนเตียงของตัวเองให้มาชิดผนังเดียวกัน ถือว่าเป็นช่วงไฮท์ไลท์ที่ทำออกมาได้น่ารักมาก โดยที่บทไม่จำเป็นต้องยัดเยียดให้ทั้งคู่ออกมาเจอกันข้างนอกเลย
มาถึงตรงนี้ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่าจะราบรืน และผ่านไปได้ด้วยดี แต่เพราะอาการป่วยของ รามี กับนิสัยส่วนตัวที่ชอบแบกปัญหาเอาไว้คนเดียว ทำให้เธอต้องล้มป่วยลง และตัวการที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้น ก็คือคู่กรณีคนเดิม ที่เขากับแก๊งเพื่อนเคยไปจัดการมาแล้ว ในมุมนี้การตัดสินใจของ ซึงจิน เลยเป็นอารมณ์มากกว่าเหตุผล เพราะในความรู้สึกของเขา รามี คือ ผู้หญิงที่เขารัก และสัญญาว่าจะปกป้องเธอให้ดีที่สุด แต่ก็นั่นแหละ การไม่ได้พบหน้ากัน สุดท้ายก็เป็นอุสรรคในการทำความเข้าใจ เพราะการกระทำที่บุ่มบ่ามของเขา ทำให้ รานี รู้สึกเหมือนถูกล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว วินาทีนั้นเธอขอยุติความสัมพันธ์ และกลับไปแบ่งเวลาการใช้ห้องร่วมกันอีกครั้ง แน่นอนว่าคนอย่าง ซึงจิน คงจะไม่เข้า่ใจว่าทำไมความหวังดีของเขาถึงส่งผลแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อการแบ่งเวลาต้องถูกเอามาใช้อีกครั้ง ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว วันออดิชั่นใกล้เข้ามา ยิ่งทำให้เขาต้องการมีสมาธิในการซ้อมดนตรีมากขึ้น ส่วนเธอเองก็มีโปรเจกต์สำคัญในชีวิตที่ต้องทำให้สำเร็จเช่นกัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า ถอยเพื่อเริ่มต้นใหม่
ถือว่าหนังจับจุดได้อย่างถูกต้อง ที่ไม่พยายามขยายปมการทะเลาะกันระหว่างทั้งคู่ให้มากเกินไป เพราะมันไม่ได้มีประเด็นที่ต้องขยายมากไปกว่านั้น รามี ได้รู้ตัวว่าชีวิตของเธอ ในตอนที่มีคนข้างห้อง ดีกว่าตอนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว จังหวะการสารภาพความรู้สึก ที่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซปต์ หันหน้าเข้ากำแพงคุยกันเหมือนเดิม ทั้งทีความจริงผู้กำกับจะใช้จุดนี้เปิดเผยใบหน้าของ รามี แต่สุดท้ายการพบหน้ากันครั้งแรกในโลกความจริงก็ถูกย้ายไปอยู่ในซีนปิดเรื่อง และฉากต่อเนื่องระหว่างฉายเครดิต ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังเกาหลีแนวโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่น่ารักมากอีกหนึ่งเรื่อง