ถ้าถามว่าชอบซีรีส์แนวไหนมากที่สุดก็คงเป็นสืบสวน+ไซไฟแหละค่ะ เพราะเรื่องมันเดาไม่ได้เลย ยิ่งผูกปมกับเส้นเรื่องหนักๆ สืบสวนสอบสวนก็จะยิ่งระทึกในใจค่ะ นอกจาก Train (2020) ที่เคยอวยไว้ในบทความก่อนโน้นแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ดูแล้วต้องร้องว้าว นั่นคือ Kairos (2020) ผลงานของ ชินซองรก และ อีเซยอง วันนี้เลยมาชวนคุยถึงความดีงามของเรื่องนี้กันค่ะ
Kairos (2020)
- ข้อมูล
- Kairos (2020)
- ชื่อเกาหลี :카이로스
- แนว : สืบสวน ระทึกขวัญ ไซไฟ
- จำนวน :32 ตอน / ตอนละประมาณ 30 นาที
- ผู้กำกับ : พัคซึงอู
- คนเขียนบท : อีซูฮยอน
- นักแสดง :ชินซองรก อีเซยอง อันโบฮยอน นัมกยูริ
- ช่องทางรับชม :MBC / VIU
- เล่าแบบย่อ
คิมซอจิน (ชินซองรก) ชีวิตการงานกำลังขาขึ้น ได้รับตำแหน่ง ผอ. บริษัทก่อสร้างตั้งแต่หนุ่มๆ สมกับที่เขาทุ่มเท แต่ชีวิตส่วนตัวเขากำลังจะพัง เมื่อลูกสาวคนเดียวหายตัวไปและมีเบาะแสว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว ซ้ำภรรยาที่เขารักมากก็ฆ่าตัวตายตาม ความปรารถนาเดียวคือตามหาลูกสาวให้พบ หลังจากได้รับการติดต่อจาก ฮันแอรี (อีเซยอง) ว่าเธอเห็นลูกสาวของเขา ทำให้เขามีความหวัง ที่แปลกก็คือพวกเขาสามารถติดต่อกันได้เพียง 1 นาทีในเวลา 22:33 ของทุกวัน หลังจากพยายามสืบสวนกันเองทำให้พบว่า ทั้งคู่อยู่กันคนละมิติเวลา ฮันแอรี อยู่ในอดีตที่ห่างจากเขาถึง 1 เดือน ก่อนที่เหตุการณ์ยุ่งเหยิงจะเริ่มขึ้น…
- ใครเป็นใครในเรื่อง
คิมซอจิน รับบทโดย ชินซองรก
ภายนอกชีวิตดี การงานก้าวหน้า ครอบครัวอบอุ่นลูกสาวน่ารัก รักความก้าวหน้า เก่ง ฉลาด และบ้างานจนได้เป็นระดับ ผอ. ในองค์กรที่เขาทุ่มเท ละเลยครอบครัวที่เขารัก
ฮันแอรี รับบทโดย อีเซยอง
นักศึกษาสาว ที่นอกจากจะพยายามหาเงินมารักษาแม่ที่ป่วย แต่วันอยู่มาวันหนึ่งแม่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ จิตใจดีชอบช่วยเหลือ ถึงจะดูเรียบร้อยแต่ลึกๆ เป็นคนเอาเรื่อง ยุติธรรมและเห็นแก่คนอื่นก่อนเสมอ
ซอโดคยูน รับบทโดย อันโบฮยอน
ลูกน้องคนสนิทของ คิมซอจิน ลึกๆ อิจฉาและพยายามแย่งชิงความสำเร็จของคิมซอจินทุกๆ อย่าง ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนเองรัก
คังฮยอนแช รับบทโดย นัมกยูริ
ภรรยาสาวของ คิมซอจิน ผู้เพียบพร้อม ทั้งดูแลครอบครัวและหน้าตาทางสังคม ความต้องการของเธอไม่มีสิ้นสุด
คิมกอนอุค รับบทโดย คังซึงยุน
เพื่อนสนิทของ ฮันเยริ ที่ช่วยเหลือทุกอย่างมาโดยตลอด
- ดูแล้วเล่าว่า
ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เนื้อหาจริงๆ กับเรื่องย่อไม่ค่อยสัมพันธ์กันเท่าไร 555555 ซึ่งส่วนตัวเราชอบซีรีส์แบบนี้มาก เหมือนเปลี่ยนเรื่องที่เรารู้มาในย่อหน้าแรก กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งภายในบทหรือสองบทแรกได้อย่างสนุก และทำให้เนื้อเรื่องต่อๆ ไปเดาไม่ได้ และไม่กล้าที่จะเดาอีก
Kairos เป็นภาษากรีกโบราณ ที่มีความหมายโดยรวมว่า “เวลาที่สมควร” หมายถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเหตุการณ์ และ หมายถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนด้วย เช่น ความจริงอาจจะแค่ 1 นาที แต่สำหรับบางคนมันอาจจะเกิดขึ้นนานนับชั่วโมงก็ได้ เป็นการเล่นคำที่นำมาเป็นชื่อเรื่องได้อย่างคุ้มค่ามาก เพราะเรื่องนี้ใช้ “เวลา” มาเป็นเส้นแบ่งเวลา และการเดินเรื่องได้อย่างสนุกมากๆ เลยค่ะ
ในพล็อตที่เล่นเกี่ยวกับเวลาส่วนมากจะมีการข้ามเวลา ย้อนเวลา ให้คนในปัจจุบัน หรือคนจากอดีตเดินทางมาเปลี่ยนอดีตหรืออนาคตใช่ไหมคะ แต่เรื่องนี้เป็นการสื่อสารอย่างเดียว ตัวเอกฝ่ายหญิงฝ่ายชายเข้าฉากด้วยกันน้อยมาก หนำซ้ำระยะเวลาทั้งสอง Time Line ยังห่างกันเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น เพราะงั้นทั้งทุกคนเลยมีตัวตนทั้งสองมิติค่ะ ต่างกันแค่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน 1 เดือนที่ห่างกันเท่านั้น ทฤษฎี Butterfly Effect และ Déjà vu จึงทำงานไวกว่าเรื่องอื่น
การผูกเรื่องค่อนข้างน่าสนใจ ช่วงท้ายในการขมวดปมก็ฉลาด ฮันแฮรีเอาเบอร์เก่าพ่อมาใช้ แล้วทำหาย คิมซอจินในอนาคตเปิดเบอร์ใหม่เป็นเบอร์ฮันแฮรี ช่วงเวลาที่มิติเวลาทับซ้อนทำให้สื่อสารกันได้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อพล็อตเรื่องที่ใช้เวลาเข้ามาเกี่ยวคือการล่วงรู้อนาคต แต่เรื่องนี้มันไม่ได้รู้อย่างหมดเปลือกแล้วมันจะง่าย จากจุดเริ่มต้นที่จะช่วยลูกสาวขอคิมซอจิน กลายเป็นเรื่องราวการทุจริตยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวโยงกับทุกชีวิต ยิ่งถ้าให้มองการเล่าเรื่องจะมองได้เป็นสามองค์ใหญ่ๆ 1.อดีตช่วงเวลาที่เคยเกิด 2.ปัจจุบันที่ทั้งสองมิติมาบรรจบกัน 3.อนาคตช่วงเวลาที่รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
การดำเนินเรื่องไว กระชับ ลุ้นระทึก เว้นจังหวะอย่างมีชั้นเชิง ทิ้งท้ายของทุกตอนทำเอาแทบคลั่งเลยค่ะ ถ้าดูสดตอนออนรับรองว่าขาดใจได้ คนดูอย่างเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตรงไหนคือจุดพีคสุด เสน่ห์อีกอย่างคือที่เรื่องเล่าสลับปัจจุบันและอนาคตโดยที่ไม่ทำให้งง และไม่จำเป็นต้องพูดหมด แต่เดาได้เลยว่าทำอะไรและเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทั้งสองคนร่วมมือกันเปลี่ยนอนาคตยังไง ระหว่างที่ดำเนินไปเพลินๆ ลุ้นบ้าง เอาใจช่วยบ้าง ก็มีเซอร์ไพรส์ใหญ่ให้ตบเข่าฉาด เพราะความโลภเปลี่ยนคนได้เสมอ
เลิฟไลน์ของเรื่องนี้ยกให้เป็นเรื่องของครอบครัวค่ะ พ่อที่มีต่อลูกสาว และ ลูกสาวที่มีต่อแม่ เนื้อเรื่องมัน realistic ได้เพราะความรักของครอบครัว เป็นคนไม่มีอะไรจะเสียสองคนมาเจอกัน และพยายามแก้ปริศนา เปลี่ยนอนาคต ต่อด้วยความฉลาดของตัวเอก เอาความได้เปรียบของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาแก้เกมในอนาคต ในส่วนของพระนาง เรียกว่าตัวเอกฝ่ายหญิง และตัวเอกฝ่ายชายมากกว่า เพราะฉะนั้น เลิฟไลน์ชายหญิงไม่มีนะคะ ไม่ต้องคาดหวังเลยดีกว่า
จุดด้อย ถ้าจะติจะเป็นช่วงกลางของเรื่องค่ะ หย่อนไปเล็กน้อย ย่อยยาก ด้วยความมีหลายปมเล็ก ปมน้อย พอปลดล็อกหลายๆ อย่างพร้อมกัน ข้อมูลเลยตีกันยุ่งค่ะ เราดูยังต้องหยุดคิดหลายรอบ อะไรยังไงนะ กลายเป็นตัวละครหลัก 5 คน 2 ช่วงเวลาที่ดำเนินเรื่องที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของเวลาทฤษฎี Butterfly Effect ส่งผลทำให้อะไรเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ แต่กู้กลับมาได้ด้วยจุดพีคและความฉลาดและการเอาคืนของตัวเอกค่ะ
ตัวละครที่อยากพูดถึง
คิมซอจิน ลูกหาย ภรรยาฆ่าตัวตาย พอหมดหนทาง จะพึงตำรวจก็รอไม่ได้ ความหวังเดียวคือผู้หญิงลึกลับที่บอกว่าเคยเจอลูกสาวเขา สิ่งที่ทำให้คิมซออูมีชีวิตอยู่ได้คือการสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาก็ยิ่งพบข้อผิดพลาดที่เกิดในชีวิตมากขึ้น ยิ่งความทรงจำสุดท้ายที่เขามีต่อลูกสาวคือการดุด่า ละเลยเมินเฉย ถึงสภาพจะสะบักสะบอมแทบจะตลอด ตัวตนในอนาคตเขาได้แสดงถึงความเก่ง ความฉลาด พอชีวิตในมิติหลังได้มีโอกาสเขาเลยแก้ไขทุกอย่างตามที่มันควรจะเป็น
ฮันแอรี ทางฝั่งอดีตก็หนักหนาไม่แพ้กัน แม่ที่กำลังจะผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ หายตัวไปอย่างลึกลับ เพื่อนสนิทโกงเงินเก็บทั้งชีวิต การเชื่อผู้ชายลึกลับคนหนึ่งที่อ้างว่ามาจากอนาคตกลายเป็นความหวังเดียวของเธอเช่นกัน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเรื่อง เป็นคนที่รักครอบครัวมาก มีขาดความในบางจุด ซึ่งเราก็ชอบอีกเพราะตัวละครนี้ไม่ได้เฟอร์เฟค เป็นแค่นักศึกษาพาร์ทไทม์ที่พยายามเอาชีวิตรอด แต่โดยรวมไหวพริบดี
คังฮยอนแช และซอโดคยูน ยิ่งความต้องการในตัวมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด สองคนนี้เป็นตัวออย่างเป็นอย่างดี โลภถึงขนาดที่ไม่รู้จะบรรยายยังไง ปมกว่าครึ่งเรื่องเริ่มมาจกาความโลภเล็กๆ ของสองคนนี้เลยค่ะ สุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไร ขอชมทีมแคสบท เลือกมาได้ปังมากๆ
- เหล่านักแสดงและงานเบื้องหลัง
ชินซองรก อาจจะติดภาพดาวร้ายของพี่เขามากกว่า My Love from the Star มาถึง The Last Empress โดยเฉพาะเรื่องหลังที่บอกว่าเป็นตัวร้ายแท้ๆ แต่เชียร์พี่แกสุดหัวใจ ต่อมาด้วย Vagabond ที่ดังมากใน Netflix จนมาถึงเรื่องนี้ ได้รับบทเป็นตัวเอก และเรื่องนี้ใช้พี่เขาคุ้มมากค่ะ ตั้งแต่หล่อเนี้ยบใส่สูท สะบักสะบอม บทพ่อที่โดนพรากลูกสาวทำให้ใจจะขาดทั้งเรื่อง เป็นคนที่(คิด)สูญเสียทุกอย่างไปแล้ว แน่นอนว่าฝีมือการแสดงถึงเครื่องมาก ชนะรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ สาขามินิซีรีส์จาก MBC ในปีนั้น ด้วยสองมิติเวลาที่ดำเนินไปเพียงแค่ 1 เดือนทำให้เห็นหลากหลายบุคลิกของคิมซอจิน จากแข็งกร้าวยึดตนเองเป็นหลัก จนกลายเป็นคิมซอจินที่ผ่านการแตกสลายและอบอุ่นกว่าเดิม
อีเซยอง นักแสดงสาวที่ช่วงนี้ฮอตสุดๆ และเคยบอกไปในบทความที่แล้ว รีวิว+ชวนคุย The red sleeveยังมี Doctor John และ The Crowned Clown ที่อยากแนะนำไว้โอกาสหน้านะคะ เรื่องบท ฮันแฮรี เรื่องอาจจะไม่มีบทบู๊จะไปตกที่พี่ซองรกมากกว่า แต่ช่วงส่งอารมณ์ทำได้ดีจนน่าขนลุกค่ะ ทั้งช่วงที่แม่หาย โดนคนที่ไว้ใจกล่าวหา ถึงจะเป็นการร้องไห้จะขาดใจเหมือนกัน แต่มันคนละมู้ดกับด็อกอิมและเรื่องอื่นๆ ที่เคยดูมาเลยค่ะ และเป็นบทนี้เป็นตัวขมวดปมของเรื่องที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ
อันโบฮยอน เป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่พอมาทำความรู้จักแล้วค่อนข้างทึ่งเลยค่ะ จากดาวร้ายสู่พระเอก และเปลี่ยนลุคทุกบทได้เฉียบขาดเลย ผลงานที่พูดไปแล้วชาวซีรีส์เกาหลีต้องรู้จักแทบทุกเรื่อง Itaewon Class , Her Private Life , Descendants of the Sun และล่าสุดในบทพระเอก My Name คู่กับ ฮันโซซี ที่แสดงดีสุดๆ ต่อด้วย Yumi’s Cells ซีรีส์คอมเมดี้ ที่เปลี่ยนลุคจนจำไม่ได้ ในเรื่องนี้รับบทเป็นตัวร้าย ส่งให้เขาได้รับรางวัล นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก MBC ในปีนั้น อาจจะดูไม่มีพิษมีภัย พอเวลาร้ายก็ฮอตเอาไม่อยู่ เป็นนักแสดงที่น่าจับตามองเลยทีเดียว การแสดงไม่ได้พีคจนต้องหยุดดู แต่พอบวกกับการแสดงที่เขา Improvise ออกมาในแต่ละเรื่อง ทำให้เราเชื่อไปแล้วว่าเขาคืออีกบทบาทหนึ่ง
นอกจากรางวัลของนักแสดงทั้งสองด้านบน ด้านตัวซีรีส์เองก็ชนะ รางวัล Outstanding Korean Drama จากเวที Seoul International Drama Awards อีกด้วย ตัวบทที่ซับซ้อน ไม่ยืด แต่ระทึกและซ่อนไปด้วยความอันตรายของเรื่องนี้ทำเอาไม่ยอมพลาดสักนาทีเดียว
โปรดักชันที่มาในสเกลภาพยนตร์ มู้ดแนวสืบสวนสอบสวนเต็มขั้นเลยค่ะ นอกจากมุมภาพปกติแล้ว ยังมีมุมกล้องแอบส่อง จะเรียกยังไงดี เป็นมุมที่ทำให้รู้สึกว่ามีบุคคลที่สามร่วมอยู่ในนั้นเสมอ เสริมเข้ามานิดๆ หน่อยๆ แต่บิ้วอารมณ์คนดูตามได้ดีมากๆ นอกจากเรื่องสีของภาพแบ่งแยกระหว่างอดีตกับอนาคตแล้ว ยังมี Transition ในซีน “Kairos” ในเรื่องอีกค่ะ จะสื่อถึง “โอกาส” ที่กำลังจะมีอีกครั้ง ช่วงเวลาเป็นตายของทั้งสองมิติค่ะ
- สรุป – ปักหมุดขาย คะแนน 8/10
เป็นเรื่องกล่าวได้ว่า กว่าเรื่องจะพาไปถึงปมหลัก เราก็แทบอิ่มกับเรื่องย่อย เหมือนได้ดูซีรีส์มากกว่าหนึ่งเรื่อง ถูกใจคอสืบสวนที่เชื่อมปมกันสนุก มีเส้นหลักเส้นรอง พลิกเรื่องได้ตื่นเต้น พอทุกอย่างเริ่มเปิดเลยก็สนุกจนนั่งไม่ติด ยิ่งช่วงของการเอาคืน เหมือนรอคอยฉากนี้มาทั้งเรื่องค่ะ พล็อตโฮลน้อย แต่อาจจะต้องเรียกสติดีๆ ช่วงกลางเรื่อง ปมเยอะ ช่วงเอาคืนสนุกสุด
ใครอยากได้ซีรีส์เกี่ยวกับมิติเวลาดีๆ ที่มีเรื่องคาดไม่ถึงอยู่ตลอดเวลา แถมนำแสดงโดย ชินซองรก และ อีเซยอง นักแสดงมากฝีมือทั้งคู่ ก็พลาดไม่ได้แล้วค่ะ Kairos ก็คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับคุณเหมือนกัน <3 strong>