รีวิวหนัง ซีรี่ย์ VIU หนังดี หนังดัง ซีรี่ย์สนุกมากมาย

รีวิวหนัง Countdown (2023)

ความเห็นหลังชม  Countdown (Count) (2023) ดราม่ากีฬาดีๆที่เสนออีกด้านของความอัปยศได้อย่างเข้าใจ

Countdown (Count) (2023) ดราม่ากีฬาดีๆที่เสนออีกด้านของความอัปยศได้อย่างเข้าใจ แต่น่าเสียดายที่น่าจะเข้มได้กว่านี้

Countdown

อันที่จริงถ้าจะนับจำนวนหนังหรือละครซีรีส์ที่ดูไปบ่นไปได้ดูก็มีไม่น้อยเพียงแต่การที่จะมาเขียนบทความถึงนั้นไม่ใช่ทุกเรื่อง  เพราะเรื่องที่จะมาเขียนถึงต้องมีบางอย่างดลใจให้เอามาบอกต่อได้ถ้าเป็นงานที่แย่ๆเกินกว่าจะรับไหวก็ไม่เขียนดีกว่าเพราะไม่มีอะไรติดใจ เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่ความจริงผู้เขียนเปิดเจอว่าเป็นหนังเข้าใหม่ทางแอปสีเหลืองและกะว่าจะดูฆ่าเวลาดูสักครึ่งเรื่องแล้วอีกวันมีเวลาค่อยว่ากันใหม่  ทว่าสิ่งดึงดูดใจให้ผู้เขียนดูได้ลากยาว (ความจริงหนังก็ไม่ยาวมาก) คือการเล่าเรื่องอื้อฉาวในวงการกีฬาของประเทศเกาหลีนั่นคือการปล้นเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นไปจากยอดมวย Roy Jones Jr. เมื่อครั้งโอลิมปิกที่กรุงโซลปี 1988  ซึ่งหนังเล่าเรื่องนี้ที่ผู้เขียนเอะใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเรื่องราวการล็อคผลการแข่งขันครั้งนั้นออกจะน่าเกลียดไม่ใช่น้อย  ทำให้วงการกีฬาโลกรุมประนามเกาหลีซึ่งผู้เขียนคนหนึ่งที่มีประสบการณ์การดูมวยสากลระดับโลกทีมักเห็นการล็อคผลหรือเรียกว่าโกงบ่อยๆ  ดังนั้นเมื่อเกาหลีหยิบเอาเรื่องนี้มาเล่าในอีกมุมจึงอยากรู้ว่าความจริงแล้วอีกด้านของเหรียญเป็นอย่างไร

Countdown

พัคชีฮอน (จินซอนคยู) คืออดีตนักมวยเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเมื่อปี 1988 ที่มีการล็อคผลให้เขาเพราะเป็นนักมวยจากประเทศเจ้าภาพ  การชกครั้งนั้นทุกคนก็ดูออกว่าเขาแพ้นักมวยอเมริกันหลุดลุ่ยแต่กรรมการดั้นเมฆให้ชนะ  ผ่านมาสิบปีพัคชีฮอน (นักมวยตัวจริงชื่อพัคซีฮุน) ต้องชดใช้บาปที่เขาไม่ได้ก่อแม้จะพยายามทวงถามศักดิ์ศรีแล้วแต่เบื้องบนก็ไม่หือไม่อือ  เขาจึงมาเป็นครูโรงเรียบมัธยมปลายที่โรงเรียนเก่าซึ่งก็มีปัญหาเพราะแม้เวลาจะผ่านไปเขายังก้าวข้ามแผลใจไม่ได้เพราะถูกต้องย้ำจากสื่อมวลชนและลุกลามไปยังครอบครัว  วันหนึ่งพัคชีฮอนต้องไปดูมวยระดับมัธยมปลายอย่างเสียมิได้แล้วเขาก็พบว่าการล็อคผลก็ยังมีซึ่งมันกระทบต่อคนที่ถูกโกงให้แพ้ก็คือชเวยุนอู (ซองยูบิน) จนอยากจะเลิกชกมวย  แล้วโชคชะตาก็พาให้เขามาเกี่ยวข้องกับมวยอีกครั้งสร้างความไม่พอใจให้กับโจอิลซอน (โอนารา) แต่เมื่อขัดไม่ได้เธอจึงปล่อยให้เขารวบรวมเด็กนักเรียนเหลือขอและเด็กอ่อนแอที่ถูกแกล้งเป็นประจำรวมถึงชเวยุนอูมาเป็นทีมมวยสากลสมัครเล่นของโรงเรียน  แต่พวกเขาจะชนะความฉ้อฉลได้หรือไม่

Countdown

เล่าเรื่องจริงอีกด้านให้เข้าใจง่ายตรงประเด็นแต่เลือกมาในโทนเบาเลยยังไม่จับใจเพาะไม่เข้มพอ ถ้าไม่ระบุว่าสร้างจากเรื่องจริงนี่จะเป็นหนังดราม่ากีฬาที่ค่อนข้างเบาบางสำหรับงานจากเกาหลีที่มักไม่ค่อยเจอ  ทว่าเมื่อรู้เจตนาของหนังความเบาบางนั้นก็ถูกถ่วงให้หนักได้ด้วยความพยายามจะบอกโลกในความจริงอีกด้านของเหรียญทองอัปยศ  ซึ่งมันคือแผลที่บาดลึกสำหรับพัคชีฮอนในเรื่องหรือความจริงก็คือพัคซีฮุนในชีวิตจริงจนชีวิตเหมือนอยู่ในหลุมทรายดูด  หนังจึงจับเอาตรงนี้มาเล่าได้จนคนดูเข้าใจเลยว่านักมวยอย่างพัคชีฮอนไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เบื้องบนในวงการกีฬาต้องการแบบนั้น  หนังบอกกับคนดูว่าพัคชีฮอนแสวงหาหนทางไถ่บาปและจ่อมจมอยู่กับชีวิตที่ไร้เกียรตินี้ขนาดไหน  ซึ่งเอาจริงสามารถเล่าให้เข้มข้นได้คือเอาให้หนักไปเลยก็ย่อมได้แต่หนังเลือกมาในโทนเบาทำให้จุดเชื่อมโยงเหมือนต่อกันไม่ติดระหว่างบาปในใจกับการพยายามไถ่บาปด้วยการสอนเด็กให้ชกมวยและเอาชนะความฉ้อฉล  ทำให้เมื่อดูแล้วก็เข้าใจแต่ยังไม่จับใจเท่าไหร่เพราะยังต้องการรู้อะไรอีกมากที่หนังควรเล่าแต่ไม่เล่า

Countdown

แม้จะสร้างจากเรื่องจริงแต่ก็ยังเป็นงานดราม่ากีฬาที่มาตามสูตรที่ยังใช้ลูกเล่นเดิมๆมาแบ่งขั้วทางอารมณ์ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้เรื่องเหรียญทองอัปยศในครั้งนั้นอาจนึกภาพไม่ออกแต่สำหรับผู้เขียนแม้จะไม่เอ่ยชื่อนักกีฬาอเมริกันคนนั้นมาตรงๆก็พอรู้เพราะในวงการมวยโลกมีนักมวยที่โดนโกงอย่างน่าเกลียดในปีนั้นแค่คนเดียว  กระนั้นเมื่อหนังเลือกเล่าอีกด้านหนังก็เล่าเรื่องความเจ็บปวดของนักกีฬาที่รู้ตัวดีว่าแพ้แต่ทำอะไรไม่ได้และเขาไม่ได้ทำอะไรผิด  ควบคู่ไปกับการเป็นงานดราม่ากีฬาที่มาตามสูตรแบบเป๊ะๆนั่นคือการพยายามไถ่บาปด้วยการส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปแล้วต้องมาเจอกับความฉ้อฉลแบบเดิมๆที่ไม่เคยเลือนหายคล้ายถูกฝังลงในสายเลือด  หนังจึงจัดการแบ่งขั้วทางอารมณ์ชัดเจนเมื่อมีฝ่ายพระเอกก็ต้องมีตัวโกงที่มาแบบน่าจงชังเต็มที่  ซึ่งนั่นคือการผลักให้คนดูเกลียดเต็มที่เพื่อเอาใจช่วยฝ่ายดีเต็มที่เช่นกันและก็ได้ผลแม้จะเล่นแบบนี้มานานเพราะคนดูก็สะใจทุกครั้งที่คนดีเอาชนะได้เพราะก่อนหน้านั้นก็โกงได้โกงดี  ถึงถ้าความเข้มเชิงดราม่าจัดจ้านกว่านี้อาการลุ้นจะมาขึ้นอีกเท่าไหร่ไม่อยากจินตนาการ

Countdown

ความทุกข์ระทมกับบาปที่ไม่ได้ก่อคือรอยแผลที่ยิ่งใหญ่กว่าความพ่ายแพ้ในเกมกีฬา การแข่งขันกีฬามีแพ้มีชนะคนเก่งกว่าเตรียมตัวมาดีกว่าก็ควรเป็นผู้ชนะแต่ถ้าชัยชนะถูกปล้นไปมันก็ไม่ใช่การแช่งขันกีฬา  ตลอดทางของหนังได้บอกให้รู้ว่าการทำแบบนี้ที่ในอดีตเกาหลีค่อนข้างขึ้นชื่อไม่ได้ส่งผลดีต่อวงการกีฬาและตัวนักกีฬาเองเพราะคนที่ถูกโกงให้แพ้ก็เจ็บปวดคนที่ถูกโกงให้ชนะก็เจ็บปวดไม่น้อยกว่ากัน  หนังยังเสนออีกด้านว่าถ้าเป็นนักกีฬาที่มีฝีมือแต่ยินดีกับการโกงก็ไม่เป็นผลดีเพราะชัยชนะปลอมๆคือการทำลายตัวเองด้วยการหยุดการพัฒนา  ยิ่งมาเห็นแผลที่พัคชีฮอนหรือพัคซีฮุนในชีวิตจริงต้องเจอและก้าวข้ามมันไม่ได้ยิ่งเข้าใจเลยว่าการเป็นนักกีฬาชีวิตก็คือการเล่นกีฬามีแพ้มีชนะมีน้ำใจนักกีฬาและเคารพคู่แข่ง  แต่เมื่อมีคนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาแต่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างที่เสียหน้าไม่ได้ทำอะไรลงไปนักกีฬาไม่ใช่ไม่เจ็บกลับกันนอกจากจะเจ็บกายแล้วยังเจ็บใจ  และต้องทนอยู่กับแผลเป็นกลัดหนองนั้นจนไม่กล้าเชิดหน้าสู้ชีวิตเพราะทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเขาภาพความอัปยศก็ตามมาแล้วถามว่านักกีฬาทำอะไรผิด

Countdown

เมื่อหนังมาในโทนเบาการแสดงก็เลยเบาไปด้วยแต่ก็สื่อสารได้ทุกอย่างที่ต้องการบอก ถ้าว่ากันที่นักแสดงหนังเรื่องนี้มีนักแสดงระดับท็อปเพียงคนเดียวคือจิซอนคยูรองลงมาก็คือโอนารา (แม่บ้านคิมจาก Alchemy of Souls) สิ่งที่น่าเสียดายคือหนังได้ระดับจิซอนคยูมาแสดงแต่ไม่กล้าพอที่จะเล่าเรื่องในส่วนของพัคชีฮอนให้แน่นๆซึ่งถ้าเล่าได้แน่นทุกอย่างที่ตามมาจะเข้มข้นขึ้นเองต่อให้หนังเสนอตัวมาในโทนเบาก็ตาม  แต่เมื่อหนังยังเสียดายความเป็นดราม่ากีฬาตามสูตรจึงทำได้แค่สร้างความเข้าใจแต่ไม่จับใจเพราะต่อให้นักแสดงมากฝีมือขนาดไหนแต่บทหนังอยู่ตรงจุดเกรงใจแบบนี้จึงได้เท่านี้ที่เห็น  แต่นั่นก็อาจไม่เป็นไรเพราะอะไรที่ต้องการสื่อสารหรืออะไรที่ต้องการบอกก็สามารถบอกได้แม้ว่าบางครั้งอาจต้องคิดต่อยอดไปเองหรือคิดเข้าข้างบ้าง  หนังมาพร้อมฉากชกมวยที่ดูดีอาจเพราะเป็นการชกระดับสมัครเล่นด้วยและนักแสดงก็ทำให้ฉากชกมวยดูสนุก  ซึ่งนอกจาการแสดงของจิซอนคยูที่บอกกับคนดูได้ทั้งที่บทเบาบางแล้วโอนาราก็ยังขึ้นกล้องเช่นเคยส่วนคนอื่นๆก็ตามนั้นไม่มีอะไรให้จดจำ

Countdown

เปิดโลกให้รู้ความจริงอีกด้านว่าคนเกาหลีก็ไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่คนบางกลุ่มกระทำที่สร้างตราบาปให้ทั้งนักกีฬาและประเทศ ขออภัยตรงนี้เพราะวลีที่ว่าเกาหลีขี้โกงในโลกแห่งความจริงในการแข่งกีฬามีจริงจนนักกีฬาบางคนขยาดที่จะไปแข่งขันที่ประเทศเกาหลี  แต่หนังก็ได้แก้ต่างให้ว่าความจริงคนเกาหลีก็ใช่ว่าจะเห็นดีเห็นงามไปเสียทั้งหมดซึ่งแน่นอนคนที่ภูมิใจก็มี  หนังยังชี้ให้เห็นภาวะทางสังคมที่การถูกประนามจากสังคมกีฬาโลกผลักให้คนในสังคมหาแพะรับบาปผ่านสื่อมวลชนที่ตั้งหน้าแต่จะขายข่าวฉาว  และบาปนั้นก็ตกไปยังนักกีฬาที่ความจริงไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถูกป้ายอาจมเพราะต้องการหาคนมารองรับอารมณ์ที่ถูกประนามแต่โต้ตอบไม่ได้เพราะภาพมันฟ้อง  ในส่วนของนักกีฬานั้นโชคดีที่พัคชีฮอนหรือพัคซีฮุนได้ก้าวข้ามมาได้และสามารถเดินหน้าไปกับมวยที่เป็นสิ่งเดียวที่ทำได้  แล้วก็เป็นไปตามสูตรหนังดราม่ากีฬาที่อาจมาจากเรื่องจริงเมื่อจุดเปลี่ยนชีวิตไม่ได้มาจากตัวเองแต่คือคนอื่นและบ่อยครั้งมาจากลูกศิษย์ที่ถูกหล่อหลอมเส้นทางที่ถูกต้องด้วยมือของตัวเองทำให้หนังที่ดูเบาบางกลายเป็นงานดี