หัวใจที่ถูกเยียวยาด้วยความจริงใจและพลังบวก “เริ่มต้นได้ดีแต่แค่เกือบสุด”
สิ่งที่ทำให้ดูไปบ่นไปชอบดูซีรีส์ต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งของเกาหลี หนึ่งคือความหลากหลายในประเด็นที่จะเล่น สองคือความกล้าเล่นประเด็นแรงและสุ่มเสี่ยง สามคือบทที่จะดีจะแย่จะยังมีความเป็นมนุษย์บางครั้งไม่ต้องมีตัวร้ายนางอิจฉาเพราะละครคือการสะท้อนชีวิต สี่คือการแสดงที่เข้าถึงด้วยความหลากหลายนักแสดงจึงไม่ยึดติดกับบทดีหรือร้ายคนดูจึงได้เห็นความเหมาะกับบทและมาตรฐานการแสดงที่สูง สี่คือองค์ประกอบทางด้านภาพ ฉาก และนักแสดงประกอบที่เป็นธรรมชาติแม้กระทั่งคนที่เดินผ่านไปไม่ถึงวินาที ห้าคือความซื่อตรงกับบทที่มีไม่พยายามต่อเติมเรื่องราวเมื่อกระแสดีทำให้เรื่องราวไม่ยืดเยื้อส่วนมากจบคือจบ
คำถามต่อมาคือความเป็นมนุษย์คืออะไร คำตอบคือสิ่งที่มนุษย์จริงๆทำกันไม่ใช่คนป่วยที่ไหนมาทะเลาะกันออกจอหรือภาษาบทสนทนาที่พูดกันในชีวิตจริงไม่ใช่ตั้งท่ามาจะคมถ่ายเดียว และมันทำให้หัวใจในวัยที่ขยับเข้าใกล้วัยทองของผู้เขียนยังไม่สามารถเปลี่ยนแนวได้ และคำถามสำคัญที่จะเชื่อมโยงกับงานที่ผู้เขียนกำลังจะร่ายยาวถึงในบทความนี้คือแล้วมีเรื่องน้ำเน่าบ้างหรือไม่ ตอบเลยว่ามีเช่นงานซีรีส์เรื่องนี้ที่บอกตามตรงคือกลิ่นน้ำเน่ามาเข้าจมูกเต็มที่ด้วยเรื่องของคุณหนูตกอับกับคุณชายหนีออกจากบ้าน แต่ทำไมถึงดูแล้วหยุดไม่ได้ต้องดูให้จบนั่นก็เพราะความเป็นมนุษย์อย่างที่ว่าที่อาจมีบ้างที่เกินเลยแต่ยังไม่ถึงกับเพี้ยนนั่นเอง Do Do Sol Sol La La Sol
เรื่องย่อ
คูรารา (โกอารา) คุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อผู้ที่ถูกพ่อเข้าใจว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านเปียโนและให้เธอเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กโดยจ้างครูมาสอนเป็นพิเศษ ด้วยความเป็นคุณหนูเธอจึงเรียนไปแบบเล่นสนุกไปเพื่อให้พ่อภูมิใจจนจบการศึกษา แต่เมื่อจบมาแล้วคูรารากลับอยากเลิกเล่นเปียโนเพราะใช้ชีวิตกับเปียโนมาทั้งชีวิตจึงอยากมีชีวิตที่เป็นคนธรรมดาบ้าง กระทั่งเธอต้องแต่งงานตามความเห็นชอบของพ่อแล้วเธอก็ได้เจอกับหนุ่มหล่อมอซอคนหนึ่งที่เอาดอกไม้มาส่งพร้อมเรื่องวายป่วง แต่งานแต่งของเธอเองก็ล่มเพราะพ่อหัวใจวายเสียชีวิตและความจริงคือครอบครัวของคูรารากำลังอยู่ในภาวะล้มละลายแม่ของว่าที่สามีจึงพาลูกชายหนีออกจากงานแต่ง ยังไม่หนำใจเมื่อเงินก้อนสุดท้ายของคูราราถูกโกงโดยนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพราะความเป็นคุณหนูไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองของเธอ
เมื่อไม่มีที่ไปยังมีหนึ่งกำลังใจที่ติดตามเธอในโซเชียลมีเดียในนามของ Do Do Sol Sol La La Sol ที่เป็นโน้ตเพลงที่คูราราเล่นเพื่อพ่อในงานแสดงจบการศึกษาได้แนะนำให้ไปในสถานที่ที่เรียกว่าเมืองอึนโพ ด้วยความสงสัยและหมดสิ้นหนทางเธอจึงเดินทางไปยังอึนโพเพื่อเจอคนคนนั้นที่เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นใครและอุบัติเหตุทำให้เธอได้เจอกับไอ้หนุ่มมอซอคนนั้นอีกครั้งและจึงรู้ว่าเขาชื่อซอนอูจุน (อีแจอุค) และคูราราต้องมาติดอยู่กับซอนอูจุนเพราะเธอไม่มีที่ไปไม่มีเงินมีแค่ตัวและหัวใจกับน้องหมา คูราราจึงต้องกลายเป็นวิญญาณตามติดชีวิตซอนอูจุนเพราะต้องอาศัยการยืมเงินจากซอนอูจุนผู้ที่ทำงานอย่างหนัก และเมื่อไปไหนไม่ได้เธอจึงติดอยู่ที่อึนโพและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแต่อดีตของซอนอูจุนก็ได้คืบคลานเข้ามาเมื่อเขาเองก็หนีออกจากบ้านมา ทว่าคราวนี้ซอนอูจุนหนีอีกไม่ได้เพราะหัวใจของเขาไม่สามารถแยกจากคูราราไปได้อีกแล้ว
บทที่เอาดีได้เพราะชั้นเชิงถูกใส่มาอย่างดีไม่มีขาดตก แต่เมื่อเสียดายและไม่กล้าเลยตกม้าตายตอนจบ
สำหรับบทละครของเรื่องนี้คือดีใช้ได้ หลายครั้งที่ดูเหมือนจะลืมหรือปล่อยอะไรทิ้งไว้แต่ก็กลับมาเก็บได้หมดด้วยเจตนาหลอกล่อสมองและหัวใจคนดู เพราะในเรื่องบางเรื่องที่ชี้ทางให้คิดไปไกลแล้วแต่สุดท้ายก็หักมุมให้มีรอยยิ้มครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งเรื่องเล็กๆอย่างยาที่คุณหมอกินหรือเรื่องของคุณลุงเลขา ซึ่งก็คืองานด้านบทที่กลับมาเก็บรายละเอียดได้ดีเพราะเจตนาหลอกล่ออย่างว่า แต่ด้วยความที่เรื่องนี้มีเจตนาที่จะเป็นความฟีลกู้ดน่ารักใสๆออกโทนสีชมพูเพื่อรองรับความโรแมนติกจึงทำให้บางอย่างที่น่าจะดีกว่านี้ได้กลับเบาบาง นั่นคือเรื่องที่บทจงใจแฝงไว้กับเรื่องของการล้มแล้วลุกขึ้นยืนอย่างสง่าที่มีให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่น่าจะดีกว่านี้ได้ถ้าใส่ความเข้มลงไปกว่านี้ทั้งในส่วนของคูราราเอง และทุกคนรอบข้าง
ด้วยทางที่เรื่องเริ่มไว้อย่างดีด้วยเรื่องของดราม่าที่ตัวของคูราราได้เจอจึงง่ายมากที่จะทำให้ตัวคูราราหม่นได้มากกว่าที่เป็นในช่วงแรก เพราะในความเป็นจริงคนที่เป็นคุณหนูที่แทบไม่ต้องล้างก้นเองแล้วเจอเรื่องหนักๆแบบนี้มันน่าจะจมได้กว่านี้ แล้วเมื่อลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามจนกลายเป็นแรงบันดาลใจในทางบวกให้กับคนรอบข้างทั้งซอนอูจุน คุณตา คุณหมอ คุณป้า หรือเด็กน้อยผู้ด้อยโอกาส แต่เมื่อความลึกในส่วนนั้นมันแค่สะกิดผิวนอกคนดูจึงสัมผัสได้อย่างเบาบางแม้ว่าเจตนาหลักของบทละครเรื่องนี้คือที่ทุกคนเปลี่ยนไปหรือการที่หัวใจของทุกคนได้รับการเยียวยานั้นมาจากรอยยิ้มและพลังบวกที่มีต่อโลกของคูราราเจตนานี้จึงทำได้แค่เพียงได้สัมผัสแต่จับต้องไม่ได้
จนกระทั่งบทต้องจงใจเฉลยในตอนท้ายคนดูจึงสัมผัสได้เต็มที่ อีกอย่างคือหลังจากเปิดตัวคูรารามาพร้อมกับความเข้มแล้วหลังจากมาถึงอึนโพบทก็พาคนดูออกทัวร์ให้เห็นความสวยงามของชีวิตมากเกินไป แต่ก็มองออกว่าเป็นความจงใจปูพื้นด้านความสัมพันธ์และเหตุผลบางประการของซอนอูจุนที่เยอะและเรื่องก็เริ่มเป๋จนต้องใส่ตัวละครตัวร้ายมากระชากใจเรื่องจึงกลับมาเข้าทางอีกครั้ง จนกระทั่งช่วงท้ายที่ซอนอูจุนป่วยและบทก็พาคนดูไปสุดทางพาอารมณ์ไปไกลจนมองเห็นความสวยงามของการจากลาและการเริ่มต้นใหม่แล้ว แต่กลับมากระทืบความสวยงามทิ้งไปจนแหลกสลายด้วยความไม่กล้าที่จะหักดิบความโรแมนติกเลยทำให้ตกม้าตายเอาตอนสุดท้ายอย่างน่าผิดหวัง
บาดแผลในใจสามารถเยียวยาได้ด้วยรอยยิ้มและพลังบวก
นี่คือเรื่องพื้นฐานที่แทบจะได้ยินได้เห็นกันทุกเช้าทั้งในกลุ่มไลน์ผู้สูงวัยหรือในโลกโซเชียลปัจจุบัน ตัวคูราราคือคนที่บอบช้ำมาจนสุดทางที่อึนโพแล้วได้รับพลังบวกจากบุคคลนิรนามและความจริงใจของซอนอูจุนจนทำให้กลับมาเล่นเปียโนและทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้อีกครั้ง ซอนอูจุนเองยิ่งหนักเพราะแผลในใจจากการเสียเพื่อนที่เขาเฝ้าโทษตัวเองจ่อมจมอยู่กับมัน ประกอบกับครอบครัวที่ไม่อบอุ่นขาดความรักความเข้าใจจนเลือกที่จะหนีไปจวบกระทั่งมาเจอกับคูราราจึงได้มีพลังที่จะเงยหน้าอีกครั้ง คุณตามันบกคือชายชราผู้ที่ตนเองได้เลือนหายไปจากความทรงจำของคนที่รักที่อยู่ด้วยกันจนวาระสุดท้าย และเพลงที่คุณตาหัดเล่นก็ได้เติมเต็มหลุมในใจนั้นให้สวยงามอีกครั้ง
หมอชาอึนซอกคือคนที่ชีวิตแต่งงานล้มเหลวเพราะการแต่งงานทำให้ไม่ได้เป็นตัวตนของตนเอง จนต้องลี้ภัยทางใจมาอึนโพและแน่นอนว่าความเป็นคูราราทำให้หมอได้มีรอยยิ้มอย่างเต็มที่อีกครั้ง หนูน้อยแจมินผู้ด้อยโอกาสทั้งที่เป็นอัจฉริยะทางเปียโนผู้ที่มาเติมเต็มความรักในการเล่นเปียโน ก็คือเด็กน้อยจากครอบครัวที่แตกร้าวแล้วมีดนตรีจากคูรารามาเปลี่ยนชีวิต แม้กระทั่งป้าจินซูคยองเจ้าของร้านเสริมสวยผู้มีรอยอดีตกับการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ความที่ตัวเองเป็นลูกกำพร้าแล้วกำลังมีลูกเป็นวัยรุ่นก็ได้เรียนรู้จากคูรารา นี่คือสิงที่เรื่องจงใจให้สัมผัสแม้จะเบาบางเพราะคนดูกังขาในพลังบวกของคูราราก็ตาม แต่อย่างน้อยยังมีอะไรให้คิดตามได้ทำให้ความหวานจนเป็นสีชมพูไม่ดูกลวง
ส่วนไลน์ความรักโรแมนติกนั้นอยู่ในระดับที่ใช้ได้แต่ยังไม่วายมีอะไรกวนใจคนดูนิดๆ ส่วนสุดท้ายคือตอนจบที่ออกมาอย่างทรงพลังแล้วเมื่อการจากลาไม่ใช่จุดสิ้นสุดแต่มันคือจุดเริ่มต้น การจากไปของคนคนหนึ่งได้มอบความสวยงามและมุมมองในการมองโลกมองชีวิตอย่างสวยงามแล้ว แต่กลับมากระทืบทิ้งด้วยการที่พระเอกรอดตายจากโรคลูคีเมีย (ได้ไง) แล้วกลับมาหานางเอกได้ทำให้ความสวยงามหายไปเหมือนกดชักโครก เพราะความไม่กล้าจะหักดิบอารมณ์โรแมนติกจนลืมไปว่ามันทำลายสิ่งที่เป็นมาทั้งหมดไปในเวลาไม่กี่นาที จนทำให้จากความประทับใจเคล้าคราบน้ำตาในตอนสุดท้ายกลายเป็นความน่าผิดหวังไปในเวลาแค่กี่นาทีนั้นนั่นเอง
ไม่ว่าจะด้วยบทหรือการแสดงแต่เรื่องนี้ “โกอารา” คือจุดอ่อน
เอาจริงไม่เอาใจเพราะผู้เขียนก็ชื่นชอบนักแสดงนัยน์ตาสวยโกอาราอยู่ไม่น้อย แต่ต้องบอกตามตรงว่านี่คือเรื่องที่น่าผิดหวังของโกอาราเพราะถ้ามองตามสายตาผู้เขียนเองมองว่าจุดอ่อนของเรื่องนี้อยู่ที่โกอารา ก็จริงที่บทในส่วนของการล้มแล้วลุกของตัวละครคูราราอ่อนไปทำให้การเป็นผู้เยียวยาหัวใจของตัวละครอ่อนตาม แต่โกอาราก็คือจุดอ่อนเมื่อมองมุมไหนก็เชื่อไม่ได้ว่านี่คือหญิงสาวอายุยี่สิบสี่ ส่วนด้านการแสดงนั้นไม่ใช่ว่าเธอแสดงไม่ได้หรือไม่ดีแต่บทในส่วนของตัวละครด้านการเป็นผู้เยียวยานั้นออกมาผิวเผินตั้งแต่แรก มิติที่พึงมีในตัวละครน้อยเกินไปมันเลยทำให้เกิดความกังขาในใจคนดูที่ไม่ควรมีแม้แต่นิดเดียว โอเคโกอาราอาจเป็นที่น่าจดจำในบทรั่วเรื้อนแต่น่ารักสุดขีดใน Reply 1994 (ที่คิดว่าดีที่สุดของเธอแล้ว) แต่คราวนี้คนดูเชื่อไม่หมดใจและดวงตากลมโตไม่ได้ผลกับบทคุณหนูตกอับและทำได้แค่สอบผ่านแบบเฉียดฉิว
จนบางครั้งว่ากันตามตรงออกจะมีอาการน่ารำคาญเล็กๆด้วยซ้ำ แถมยังไม่พอเธอยังโดนอีแจอุคในบทซอนอูจุนข่มทั้งเรื่องกลายเป็นอีแจอุคขโมยความเด่นไปหมดในบทคุณชายที่มีปมในใจไม่ลงรอยกับครอบครัวและค่อยๆลุกขึ้นยืนเชิดหน้าได้อย่างมีพัฒนาการและน่าเชื่อถือ เพียงแต่ความน่ากังขาอยู่ในบทคูราราที่คนดูจะมีอะไรสะกิดกวนใจตลอดว่าซอนอูจุนไปรักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างมากมายได้อย่างไร ส่วนอีกคนที่ฉายพลังจนคิดว่าดูดีกว่านางเอกด้วยซ้ำอีกคือน้องชินอึนซูในบทฮายองที่ดูมีเสน่ห์และมีพลังลึกลับบางอย่างดึงดูดสายตาและการแสดง
อีกคนที่ไม่เอ่ยถึงคงนอนไม่หลับคือคิมจูฮยอน ในบทหมอชาอึนซอกที่สร้างความประทับใจอีกครั้งผ่านสีหน้าเหนื่อยหน่ายในช่วงต้นก่อนมาเป็นคุณลุงใจดีในที่สุด เป็นอีกครั้งที่เขามอบการแสดงที่ได้ใจหลังจาก It’s Okay To Not Be Okay ที่เพิ่งผ่านไปก่อนหน้าเรื่องนี้ ถ้านั่นยังไม่พอแก๊งแม่บ้านในสมาคมฝันหย่าที่ร้านเสริมสวยก็แสบๆคันๆสนุกสนานกันทุกคน เป็นอีกครั้งที่นักแสดงสมทบในซีรีส์เกาหลีสร้างสีสันให้กับเรื่องจนยกระดับความสนุกได้ และคงปฏิเสธไม่ลงว่าในช่วงกลางที่เรื่องออกทะเลไปก็ได้พลังจากนักแสดงสมทบที่มีสีสันเหล่านี้ช่วยดึงคนดูไว้ และในส่วนของงานด้านภาพก็บอกแล้วว่าสดใสในโทนสีชมพู เพลงประกอบถูกเวลาและเพราะมากอีกเช่นเคยแต่น่าแปลกที่เรื่องนี้ไม่มีโซจู
เว้ากันซื่อๆอู้กันตรงๆคือนี่คืองานโลกสวยและน้ำเน่า ในกลิ่นน้ำเน่ามีเรื่องของคุณหนู คุณชาย การเสียสละเพื่อคนที่รัก การยอมเจ็บปวดยอมถอยห่างเพื่อกันและกันผ่านโทนเรื่องที่มองโลกในมุมบวกสุดขีดมองชีวิตในมุมที่สวยงามสุดขั้ว แต่ถ้าว่ากันแบบไม่เกรงใจนี่คือเรื่องที่ราบเรียบในภาพรวมแม้จะมีวัตถุดิบมากมายในการสร้างประเด็นกระชากหรือเร้าใจได้มากกว่านี้แต่เลือกที่จะฟีลกู้ดกระทั่งบางครั้งมันดูเกินเลยความเป็นจริง และความราบเรียบนั้นมีช่วงเวลานานเกินไปในช่วงกลางจนเชื่อว่าต้องมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เททิ้งไปในช่วงนี้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วสิ่งที่ช่วยดึงไว้ในช่วงที่ว่าคือเหตุการณ์รายทางที่มีสีสันและเรียกรอยยิ้มได้จากนักแสดงสมทบมากกว่าการอินไปกับการปูเรื่องของพระเอกนางเอกเพื่อไปสู่ความโรแมนติก
ซึ่งจะว่าไปในส่วนของความโรแมนติกผู้เขียนกลับอินไปกับความรักในอดีตของคุณตามันบกมากกว่า ส่วนของพระเอกนางเอกตัวจริงกลับไม่รู้สึกอะไรมากนักเพราะเชื่อไม่ได้ทั้งหมดในความรักของเขาและเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่เรื่องนี้มอบไว้คือการชี้ให้เห็นว่าทุกคนล้วนแต่มีปัญหาของตัวเองจะเล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่ แต่การจ่อมจมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งการที่มนุษย์อยู่ลำพังก็ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เพราะมีแค่กำลังใจที่อยู่เคียงข้างกันเสมอเท่านั้นจะช่วยให้ผ่านพ้นและลุกขึ้นยืนได้ บางทีมนุษย์ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับอะไรที่หนักเกินกว่าใจจะรับไหว อาจบางทีหากคับแค้นใจก็แค่ร้องให้แล้วเริ่มใหม่อาจดีกว่ากล้ำกลืนเก็บไว้ แม้จะไม่ใหม่พลังก็ไม่แรงมากมายแต่ก็มีเสน่ห์มากพอให้ดูได้จนจบด้วยแง่มุมที่แฝงไว้ แต่เมื่อดูจนใกล้จบจนจะเป็นความประทับใจในตอนท้ายกลับมากลายเป็นว่านี่คือเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุดเพียงเพราะเวลาไม่กี่นาทีนั้นเลย