รีวิวหนัง ซีรี่ย์ VIU หนังดี หนังดัง ซีรี่ย์สนุกมากมาย

รีวิวจัดเต็ม CHIMERA (2021)

Chimera-2021
รีวิวจัดเต็ม CHIMERA (2021) เข้มข้นเร้าใจ  แต่  ยังไม่ขึงขังพอ

CHIMERA

งานสืบสวนที่ดูแปลกใหม่ สนุกตื่นเต้นเร้าใจ ที่ความเข้มข้นทำให้เป็นงานชั้นยอด แต่ถ้าเพิ่มความขึงขังอีกหน่อยน่าจะทำให้ไปถึงระดับงานชั้นเยี่ยม

viu : 1 Season 16 Episodes (2021)

Chimera

สำหรับบ้านผู้เขียนนั้น ในปัจจุบัน ทีวีสองเครื่องได้ถูกจับจองด้วยคอนเทนต์หลักคือซีรีส์เกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคุณแม่บ้านได้หันมาดูซีรีส์เกาหลีอย่างเป็นจริงเป็นจัง เรื่องต่อเรื่อง และที่บ้านผู้เขียนจะใช้บริการแอปหลักๆอยู่สองแอป คือ NETFLIX และ viu ที่สามารถเลือกชมซีรีส์เกาหลีได้อย่างไร้ขีดจำกัด และไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ คุณแม่บ้านที่เคยเป็นคอละครไทยมาก่อน แต่แล้ว ในเวลาไม่นานนัก นางกลับดูซีรีส์และหนังเกาหลีเป็นหลัก และที่เหลือเชื่อคือ นางดูเกาหลีมากกว่าผู้เขียนไปแล้ว เพราะตัวผู้เขียนเองยังมีหลบไปดูหนังฝรั่งบ้าง อินเดียบ้าง หนังจีนที่น่าดูก็ดู เดี๋ยวก็ว่าจะแวะไปทางญี่ปุ่นบ้าง แต่กลับกันคือ คุณแม่บ้านกลายเป็นออกจากเกาหลีไม่ได้ ไม่ว่าจะแนะนำงานดีๆจากจีนหรือญี่ปุ่นให้ก็ตาม จึงไม่ต้องแปลกใจที่คนข้างบ้านจะได้ยินภาษาเกาหลีที่บ้านผู้เขียนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และมันเป็นเช่นนั้นทั้งสองเครื่อง ชนิดที่ เมื่อผู้เขียนไม่มีเวลาดูอะไรยาวๆ และยังไม่อยากดูซีรีส์เกาหลี เพราะถ้าดูแล้วมักจะติด แต่คุณแม่บ้านก็เปิดภาษาเกาหลีกรอกหูอยู่ทุกวัน จนกระทั่งอดใจไม่ได้ก็หาดู จนมาเจอเรื่องนี้ที่ผู้เขียนกำลังจะบ่นถึงแบบจัดเต็มเรื่องนี้ เพราะความจริงตั้งใจจะดูอยู่เช่นกัน เพียงแต่อะไรบางอย่างในช่วงต้นปียังดูไม่ลงตัว เลยไม่ได้เริ่มดูสักที ซึ่ง ย้อนกลับไปถึงกรณีของคุณแม่บ้าน ที่กลายมาเป็นคอซีรีส์เกาหลีเต็มตัว ก็คงไม่ต่างจากผู้เขียนสักเท่าไหร่

เมื่อจุดเริ่มต้นมันมาจากการที่ช่วงเวลาที่โดนกักตัวในภาวะโรคระบาด เมื่อครั้งการรระบาดรอบแรก ที่ผู้เขียนและครอบครัวต้องขับรถเดินทางไปรับลูกชายคนโตที่เรียนอยู่นครปฐม แล้วกลับมาต้องโดนกักตัวทั้งครอบครัว เมื่อไม่ได้ออกไปไหน ทางออกที่มีก็คือการดูทีวีอยู่กับบ้าน และถ้าจำไม่ผิดก็คงจะเป็นงานซีรีส์ที่เข้มข้นในแนวสืบสวนอย่าง Vagabond ที่ทำให้คุณแม่บ้านติดงอมแงม และหลังจากนั้นมา เมื่อนางเริ่มดูเรื่อยๆ ก็อาจจะเริ่มเห็นว่า แนวทางที่ซีรีส์เกาหลีเสนอนั้น มีความหลากหลาย และการแสดงสามารถสะกดผู้ชมได้ในอารมณ์ที่ต้องการ จึงพัฒนามาถึงวันที่บ้านผู้เขียน เป็นบ้านที่ดูซีรีส์เกาหลีเป็นหลัก

ซึ่ง ถ้าย้อนไปถึงงานซีรีส์สืบสวนสอบสวน ความจริงนับว่าเป็นจุดขายหนึ่งของทางเกาหลี เพราะด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ส่วนใหญ่งานจะออกมามีมาตรฐาน แล้วจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อย ที่ถูกจัดสรรเข้ามาในระยะเวลาการออนแอร์ เพราะซีรีส์เกาหลีก็คือละครที่ฉายทางโทรทัศน์บ้านเขา ยังคงมีการถ่ายไปออนแอร์ไป ซึ่ง เวลาก็จะเป็นการวัดกึ๋นของทีมงาน และคนเขียนบทว่าจะสามารถรักษาระดับความเข้มข้นในตัวเรื่องให้ได้ทุกตอน หรือไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ซึ่งถ้าทำได้ ก็จะกลายเป็นงานชั้นเยี่ยม แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะกลายเป็นงานธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทั่วไป แต่สำหรับเรื่องนี้ ที่ผู้เขียนดูจบไปหมาดๆ กลับเห็นเป็นความสดที่ไอเดีย มีความเข้มข้นชวนติดตาม เพียงแต่ขาดความขึงขัง ทำให้ยังไปไม่ถึงระดับขึ้นหิ้งได้ แต่ก็เป็นงานที่สนุกเหลือหลาย #Chimera

Chimera

เรื่องย่อ

เปิดหัวมาที่การเผชิญหน้ากันของตำรวจกับผู้ร้าย ที่เผยโฉมออกมาตั้งแต่แรก แล้วตัดมาที่การสาธิตการวางระเบิดก่อการร้ายของเจ้าหน้าที่ FBI ที่ถูกส่งตัวมาช่วยราชการที่เกาหลี ยูจีน แฮทธาเวย์ (คลอเดีย คิมซูฮยอน) และการสาธิตนั้นก็อยู่ในสายตาของสายสืบ ชาแจฮวาน (พัคแฮซู) ที่เฝ้ามองอย่างสนใจ หลังจากนั้น ก็มีคดีฆาตกรรมด้วยการวางระเบิดรถของอดีตนักข่าวคนหนึ่ง แต่ในการสืบสวนทางนิติวทยาศาสตร์กลับไม่พบอะไรที่จะเป็นวัตถุระเบิด สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับตำรวจ สายสืบ ชาแจฮวาน จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญคือ ยูจีน และในขณะเดียวกัน ยูจีน ก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมคนร้าย และในที่สุด ก็ไขกุญแจได้ว่า การระบิดเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมี ที่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้นจึงจะทำได้

แต่แล้ว คดีต่อมาก็กลายมาเป็นคนใกล้ตัวสายสืบ ชาแจฮวาน ทำให้การสืบคดีของเขามีอารมณ์มาผสมโรงด้วย และทางตำรวจจึงตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อสืบคดี เพราะทุกครั้งที่ก่อคดี คนร้ายจะทิ้งสัญลักษณ์เป็นรูปสัตว์ในตำนานปกรณัมกรีกที่เรียกว่า คิเมร่า แล้วการสืบสวนก็ได้ชี้นำเบาะแสไปยังคนที่น่าจะเก่งทางวิทยาศาสตร์ และสามารถหาวัตถุที่ดูธรรมดาเมื่ออยู่ด้วยตัวของมันเอง แต่จะสามารถกลายเป็นระเบิดหรือเชื้อเพลิงได้เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีร่วมกับวัตถุอื่นๆ นั่นคือหมอ อีจุงยอบ (อีฮีจุน) นายแพทย์ชาวอังกฤษเชื้อสายเกาหลี แต่ มันคงจะง่ายขึ้นในการสืบคดี ถ้าเกิดว่า ผู้ตายเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีในอดีต ที่เป็นคดีวางเพลิงที่หาสาเหตุไม่เจอเช่นเดียวกัน ที่เรียกว่าคดี คิเมร่า แต่ฆาตกรคนนั้นก็เสียชีวิตไปเมื่อสามสิบห้าปีที่แล้ว เรื่องจึงกลายเป็นปริศนาที่ดำมืด เมื่อฆาตกรกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง และพุ่งเป้าไปยังคนที่เกี่ยวข้องกับคดี แถมเกี่ยวพันกับประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ความเกี่ยวพันกันนั้นมันเริ่มมาจากเมื่อสามสิบห้าปีก่อน

เมื่อครั้งที่การปิดคดี คิเมร่า ในตอนนั้นเป็นที่น่ากังขาในตอนนี้ แล้วความเกี่ยวพันเหล่านั้นจะโยงกันอย่างไร กับคนสามคน หนึ่งคือสายสืบที่กัดไม่ปล่อย อีกหนึ่งคือหมอผู้เก่งกาจที่มีปริศนาเป็นเงาดำในอดีตที่ลึกลับน่าสงสัย และอีกหนึ่งผู้เชี่ยวชาญจาก FBI ที่ฉลาดเป็นกรด กับเรื่องที่ต้องยอมรับว่า เขียนยาก เพราะหลุดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว จากปมหลายอย่างเกี่ยวเนื่องกันเป็นร่างแห ที่อาจไม่ได้ซับซ้อนจนเหนื่อยล้าที่จะคิดตาม แต่ก็พลิกผันยากจะคาดเดา

Chimera

ไอเดียที่บรรเจิดกับความฉลาดในการผูกปมเชื่อมโยงกันทำให้เข้มข้นแต่น่าเสียดายที่ยังไม่ขึงขังพอ

แรกเลยที่ต้องชื่นชมคือไอเดียที่จะเอามาขาย เพราะงานซีรีส์แนวสืบสวนฆาตกรต่อเนื่องแบบนี้ เกาหลีเล่นมาจนแทบทุกแนวแล้ว การจะฉีกออกไปจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่คราวนี้เลือกที่จะฉีกออกไปให้เป็นวิทยาศาสตร์ฆาตกรรม วางตัวให้ยากต่อการค้นหาสาเหตุและหลักฐาน ซึ่ง ไอเดียนี้จัดว่าได้ผลเลิศ เพราะตั้งโจทย์เป็นความสงสัยเป็นอันดับแรก ซึ่ง ผู้ชมก็สงสัยแน่นอนว่า สาเหตุของการฆาตกรรมแต่ละครั้งคืออะไร และจะพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร และส่วนที่ทำให้จุดนี้ได้ผลคือ ความไม่รู้ของผู้ชม เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดว่าวัตถุต่างๆ สารต่างๆที่เห็นในเรื่องที่เล่า จะสามารถเป็นวัตถุอันตรายได้ ซึ่ง เรื่องนี้มันก็คล้ายกับเรื่องก่อนหน้าคือ Inspector Koo เพียงแต่เรื่องนี้มันมีการอธิบายให้กระจ่าง มันเลยดูมีน้ำหนักกว่า

ถัดมาคือการวางปมของปัจจุบันให้เกี่ยวพันกับอดีตที่ซ่อนเร้น ความเจ็บปวด แรงจูงใจที่เป็นความต่างที่มีจุดร่วมเดียวกันของฆาตกร คิเมร่า และไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจังหวะจะโคนในการปล่อยเงื่อนปมมันดูพอเหมาะพอเจาะ เมื่อดูไปถึงจุดที่คลี่คลายปม เฉลยปมบางอย่าง ก็ต้องมานึกว่า นี่มันตอนที่เท่าไหร่แล้วถึงเปิดไพ่ออกมา นั่นหมายความว่า การดูไปเรื่อยๆผ่านความสงสัย แล้วไประทึก มีดีถึงขั้นลืมเวลาและลืมไปเลยว่า ดูถึงตอนไหน พร้อมด้วยการชี้นำ วางเบาะแส ความน่าสงสัยให้ผู้ชมคิดตามไปอย่างที่บทตั้งใจไว้อย่างสัตย์ซื่อ แต่แล้วก็ค่อยพลิกเกมให้รู้สึกเป็นอีกอย่าง ก่อนที่จะเฉลยความจริงที่น่าตกใจในเวลาที่อาจดูเร็วไป กระนั้น ก็ยังมีชั้นมีเชิงพอที่จะให้คิดต่อไปว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร เมื่อความจริงและตัวจริงไม่ได้แค่หนึ่งเดียว

อีกส่วนที่ทำได้ดีก็คือการวางพื้นฐานของตัวละครสองคน ที่เป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากัน ให้มีปูมหลังที่เหมือนไม่เกี่ยวแต่ก็เกี่ยวกันอย่างแยบยล และมันทำมิติด้านตัวละครมีน้ำหนักในการกระทำหรือไม่กระทำเรื่องราวบางประการ เพราะต่างฝ่ายต่างมีแรงจูงใจพอ และนั่นก็นำมาซึ่งความเข้มข้นที่ชวนติดตามตั้งแต่ตอนแรกไปจนถึงครึ่งหนึ่งของตอนสุดท้าย แต่แล้ว ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายก็กลับกลายเป็นเช่นเดียวกับงานที่มีความซับซ้อนซ่อนปมไปมาแบบนี้ ที่สามารถเห็นได้บ่อยๆ นั่นคือเหลือเวลาน้อยเกินไปที่จะเคลียร์ทุกอย่างให้ลงตัวในบทสรุป เลยกลายเป็นเห็นความรวบรัดไปในตอนท้ายอย่างน่าเสียดาย อีกอย่างก็คือ โดยรวมแล้ว เรื่องอาจเข้มข้นจัดเต็มจริง แต่บทดูขาดความขึงขัง เพราะผู้ชมแม้จะดูสนุก ลุ้นระทึก สงสัย แต่ก็ขาดอารมณ์กดดันที่เป็นของที่ควรจะมีในงานแนวนี้ บางอย่างที่ดูน่าจะกดได้กว่านี้ แต่ก็คลายง่ายๆ ทำให้อารมณ์ผู้ชมไม่เคร่งตึงเท่าที่ควร และยังเห็นว่า บางจุดที่สามารถขยี้ได้ก็ไม่ทำ เช่นเรื่องของปูมหลังของเจ้าหน้าที่ FBI ที่ทำไมต้องมาเกาหลี พื้นฐานทางครอบครัวที่เป็นแรงจูงใจคืออะไร และทั้งหมดก็คืองานด้านบทที่เรียงร้อยกันได้อย่างเนียนๆ พลิกไปมายากจะคาดเดา ซ่อนความจริงไว้หลายชั้น ปล่อยของได้ถูกที่ถูกเวลา ทำให้นี่คืองานที่เป็นความบันเทิงชั้นยอด เพียงแต่ สิ่งที่ขาดหายไปคืออารมณ์ เมื่อผู้ชมไม่รู้สึกมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ เพราะยังกดผู้ชมได้ไม่มากพอ ทำให้ผู้ชมกลายเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ด้วยความสงสัย ทำให้เป็นงานที่ดูสนุก น่าติดตามและมีพลังตั้งแต่ต้นจนจบตามมาตรฐาน แต่กระนั้น ก็ทำได้แค่เสียดายที่บทยังพาเรื่องไปไม่ถึงความเยี่ยม

Chimera

การแสดงที่ไม่ต่างจากมวยถูกคู่ที่ต่างฝ่ายต่างมีเวลาทองของสองนักแสดงชาย

เพราะนี่คือเรื่องของคนสามคนที่มีชะตามาพัวพันกันในเรื่องของอดีตที่ส่งผลต่อปัจจุบัน กับเรื่องของหนึ่งเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกันและสร้างทางแยกให้กับคนรุ่นต่อมา ซึ่งมันเป็นปริศนาที่ท้าทายทั้งสองตัวละครหลัก ใช่แล้วท่านอ่านไม่ผิด ชะตาของคนสามคนที่กลายมาเป็นสองคนเมื่อเรื่องเดินหน้าไป เพราะสาเหตุที่ว่าจากจากย่อหน้าที่แล้ว นั่นคือตัวละครที่สามไม่ได้ถูกเล่าอย่างมีพื้นฐาน และมีแรงจูงใจที่ลึกพอให้ผู้ชมสัมผัสได้ เลยทำให้เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นเหลือสองคนกับหนึ่งตัวแปร

และสองคนที่ว่านั้นก็คือหนึ่งตำรวจสายสืบ ชาแจฮวาน ที่รับบทโดย พัคแฮซู กับหนึ่งผู้ต้องสงสัยที่บทตั้งใจเปิดตัวตั้งแต่ต้นคือคุณหมอ อีจุงยอบ ที่รับบทโดย อีฮีจุน เป็นหอคอยคู่ที่พาเรื่องเดินหน้าไปอย่างมีพลังและน่าติดตาม ส่วนเจ้าหน้าที่ FBI ยูจีน แฮทธาเวย์ ของ คลอเดีย คิม นั้นก็ค่อยๆถอยออกไปเป็นตัวแปรของเรื่องทีละน้อย นั่นหมายความว่า นอกจากบทจะกำหนดตัวตนของตัวละครให้เป็นเช่นนั้น พัคแฮซู และ อีฮีจุน ก็อยู่ในสถานะศีลเสมอกัน นั่นคือต่างฝ่ายต่างไม่เป็นรองกัน เปรียบไปก็เหมือนมวยคู่เอกที่ไม่มีใครถอยให้กัน ผลัดกันออกอาวุธใส่กัน

โดยที่ช่วงแรก อีฮีจุน ดูดีกว่าเล็กน้อย เพราะตัวละครที่เขาเล่นมีมิติที่หลากหลายกว่า มีอะไรให้เล่นมากกว่า แต่เมื่อถึงช่วงท้าย พัคแฮซู กลับมาดูดีกว่าเพราะบทของตัวละครของเขาต้องเจอกับความสับสนและเจ็บปวด เมื่อต้องรับรู้ความจริงบางอย่าง เรียกได้ว่าต่างคนต่างมีเวลาทองของตนเอง แต่ที่แน่ๆ นี่คือการแสดงของสองนักแสดงชายที่เข้าขากันอย่างน่าชื่นชม โดยที่ไม่มีความรู้สึกจิ้นกันจนออกมาเป็นซีรีส์วายเลยแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งคือเป็นเพราะบทรักษาระยะห่างไว้ ให้เป็นผู้ชายสองคนที่ถ้าไม่เป็นศัตรูก็เป็นเพื่อนแท้ ที่ถ้าไม่ฟาดปากกันก่อนก็จะไม่รู้ใจ อีกส่วนคือการแสดงที่แสดงออกถึงอารมณ์แมนๆแบบนั้นออกมาได้ยอดเยี่ยมทั้งคู่ แต่ที่น่าสนใจคือบทของ พัคแฮซู อาจดูมิติไม่เยอะเท่า ไม่ลึกเท่า แต่ พัคแฮซู ก็ยังเป็น พัคแฮซู ที่ยังไม่ให้ใครขโมยเรื่องไปจากเขาได้ ส่วน อีฮีจุน นั้น ผู้เขียนรู้ศักยภาพของเขาดีจากซีรีส์ Mouse เลยไม่แปลกใจที่เขาฟาดฟันกับ พัคแฮซู ได้อย่างกินกันไม่ลง

แต่ที่น่าผิดหวังเล็กๆ คือนักแสดงเกาหลีอินเตอร์อย่าง คลอเดีย คิม ที่เคยมีส่วนร่วมกับหนังฟอร์มยักษ์จากค่าย MARVEL มาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์อะไรได้ เมื่อเครดิตการทำงานของเธอยังน้อยมากถ้าเทียบกับสองนักแสดงชาย และนั่นจึงทำให้แม้จะออกตัวดีและแรง แต่เมื่อผ่านจำนวนตอนไปเรื่อยๆ เรื่องก็กลายมาเป็นของสองนักแสดงชายไปเรียบร้อย แต่กระนั้น เธอก็ยังมีดีพอที่จะไม่กลายเป็นส่วนเกินที่น่ารำคาญ และยังเป็นตัวแปรที่สำคัญที่มีน้ำหนักต่อเรื่องได้เป็นอย่างดี ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆก็อยู่ในมาตรฐานงานเกาหลี ที่สามารถซ่อนอะไรที่ควรซ่อนไว้ เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม ชนิดที่ผู้ชมดูไม่ออก คาดไม่ถึง จนกระทั่งเรื่องยอมเผยออกมาเองเมื่อไหร่ จึงรู้สึกว่าเหนือคาดเมื่อนั้น ทำให้เรื่องนี้ แม้จะขาดอารมณ์ที่ควรมีบางอย่างไปบ้าง แต่การแสดงที่เนียนพอสำหรับเรื่องที่ต้องปิดซ่อนไว้ให้ประหลาดใจแบบนี้ ที่ยังทำได้อย่างไม่มีที่ติ ก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญให้เรื่องนี้ ยังเป็นงานชั้นยอดได้

Chimera

ถ้านับกันที่เวลาของผู้เขียนที่มี เรื่องนี้จัดว่าดูจบเร็วแล้ว เอาตามจริงคือก็อยากดูยาวๆนะ แต่เวลามันไม่เอื้ออำนวยให้ แต่ทุกครั้งที่ดูก็ต้องหักห้ามใจไม่ให้เกินกว่าเวลาที่กำหนด เพราะมันจะทำให้กินเวลาพักผ่อน อันจะกระทบไปถึงเรื่องอื่นๆตามมา แต่ถ้าว่ากันที่ความเห็นส่วนตัว นี่คืองานที่มอบความบันเทิงเต็มที่ ด้วยการวางโจทย์ให้ผู้ชมสงสัยใคร่รู้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ฆาตกรรม แล้วผูกเข้ากับการสืบสวนคดีใหม่ที่พัวพันกับคดีเก่า เล่าเรื่องของคนรุ่นปัจจุบันที่มีอดีตที่ร้าวร้าน อดีตที่คลุมเครือที่ต้องการค้นหาความจริงและเปิดเผย ด้วยเรื่องซ้อนเรื่องที่ซ้อนทับกันได้ดี ไม่ได้แตกปลายไปจนคุมไม่ได้อันจะทำให้ผู้ชมระทมกบาล ทำให้เรื่องยังมีทิศทางและจุดหมายในบั้นปลายที่ชัดเจน ประกอบกับความสงสัยในคนที่ควรสงสัย และไม่สงสัยในคนที่ไม่ควรสงสัยอย่างที่บทชี้นำไว้ จนทำให้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม การปล่อยหมัดออกมานับว่าได้ผลเพราะผู้ชมคาดไม่ถึงไปตามๆกัน

แต่กระนั้น ด้วยความที่ยังกดดันไม่แรงพอ เลยทำให้เมื่อถูกหมัดเด็ดเข้าปลายคาง ผู้ชมเลยแค่รู้สึกมึน แต่ไม่ใช่หมัดที่จะถึงกับน็อคหรือถูกนับ ถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆคือเมื่อความกดดันอารมณ์ผู้ชมยังไม่ถึงจุดสุดขีด เรื่องแบบนี้จะกลายเป็นแค่ความพลิกผันที่เหนือความคาดคิด แต่ถ้าอารมณ์ไปสุดขีด ความคิดพัฒนาไปไกลสุดกู่แล้ว เรื่องแบบนี้จะกลายเป็นความหักมุม และมันคือความต่างของงานชั้นเยี่ยม เพราะงานชั้นเยี่ยมนั้น เมื่อดูแล้วจะมีอะไรติดอยู่ในใจมากมาย ทั้งบางฉากบางตอน บางบทสนทนา หรือเรียกอีกอย่างอย่างภาพจำที่ประทับใจ

และบางครั้งงานชั้นเยี่ยมก็จะกลายเป็นของขึ้นหิ้งที่เมื่อพูดถึงงานแนวเดียวกัน ชื่อของเรื่องเหล่านั้นจะผุดขึ้นมาในหัวเสมอ แต่สำหรับงานชั้นยอดนั้น ก็คืองานที่ยังคงมอบความบันเทิงให้ได้สุขสมอุรา ยังเป็นงานที่ดูได้ผู้ชมสามารถติดตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ทว่า เมื่อดูจบแล้วกลับไม่มีอะไรที่ติดอยู่ในใจอย่างที่งานชั้นเยี่ยมเป็น และสำหรับเรื่องนี้ก็คือความบันเทิง เป็นงานที่ดูสนุก ไม่ได้มีอะไรบกพร่องจนกลายเป็นของแบกะดินดาดๆ กลับกันนี่คืองานที่เรียกว่างานชั้นยอดในภาพรวมด้วยซ้ำ เพียงแต่มันยังขาดอะไรบางอย่างที่จะไต่ไปถึงความยอดเยี่ยมได้ แต่ถ้าถามว่าสนุกคู่ควรกับการดูหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า คู่ควรเป็นอย่างยิ่ง